“บ้านคือวิมานของเรา” คำกล่าวนี้คงไม่ล้าสมัย ตราบใดที่บ้านยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ใครหลายคนฝันใฝ่และตั้งเป้าหมายอยากครอบครองเป็นเจ้าของสักครั้งหนึ่งในชีวิต เนื่องจากการมีบ้านสักหลังเป็นของตัวเองนั้น มิใช่เพียงแค่ที่พักอาศัยซุกกายกันแดดคุ้มฝน แต่หมายรวมถึงความสุขทางใจ อันได้แก่ความภาคภูมิและความอบอุ่นมั่นคงในชีวิต ทั้งของตนเองและครอบครัว อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคสมัยปัจจุบัน การซื้อและขายบ้านอาจมีเรื่องให้ชวนปวดหัวและปวดใจไม่น้อย
ดังมีกรณีตัวอย่างหลายรายที่ผู้ซื้อและผู้ขายบ้านประสบปัญหา โดยเฉพาะประเด็นจำนวนเงินที่ได้รับหรือจ่ายไปในการซื้อขาย เช่นกรณีที่เกิดกับผู้ขายบ้านรายหนึ่ง ซึ่งตั้งกระทู้ถ่ายทอดประสบการณ์ในเว็บบอร์ดยอดนิยมหัวข้อ “แชร์ให้ฟังเรื่องก่อนคิดซื้อบ้าน และการขายบ้าน” (https://pantip.com/topic/36104228 : 12 กุมภาพันธ์ 2560)
เจ้าของกระทู้เล่าว่าตนเพิ่งขายบ้านได้ หลังประกาศขายนานประมาณ 1 ปี 7 เดือน เป็นบ้านเดี่ยวที่ตนซื้อร่วมกับภรรยาตอนแต่งงานเมื่อ 7 ปีก่อน (ราคาประมาณ 3 ล้านบาท) และผ่อนหมดภายในระยะเวลา 6 ปี ระหว่างปีคิดเฉลี่ยว่าเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารประมาณ 1 แสนบาท รวม 6 ปีเสียดอกเบี้ยประมาณ 6 แสนบาท ตนขายบ้านหลังนี้ไปในราคา 3.2 ล้าน เมื่อคิดค่าเสียภาษีที่กรมที่ดิน 6 หมื่นบาท และค่าดอกเบี้ย 6 แสนบาท รวมขาดทุนไปเกือบ 5 แสนบาท เจ้าของกระทู้จึงนำเรื่องราวที่ประสบมาบอกเล่าและแสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อกรณีนี้ว่า ใครคิดจะซื้อบ้าน เพราะมาทำงานในกรุงเทพฯ ควรพิจารณาทบทวนให้ดี หากไม่ตั้งใจจะอยู่นานประมาณ 15 ปีขึ้นไป น่าจะเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่แทน เพราะหากย้ายไปที่อื่นแล้วขายบ้านได้ก็ไม่มีกำไร แม้ว่าราคาขายจะสูงกว่าตอนที่ซื้อมา แต่กลับต้องขาดทุนค่าดอกเบี้ยที่ผ่อนไป ยิ่งส่งนานยิ่งขาดทุนมากขึ้นตามลำดับ
เจ้าของกระทู้ชี้ข้อดีของการเช่าอยู่ว่าไม่ต้องรับความเสี่ยงจากงานที่ทำหากโดนไล่ออก คิดจะย้ายไปไหนก็ง่าย ไม่ต้องแบกรับภาระหนี้สินค่าดอกเบี้ยที่เสียต่อเดือน ยิ่งยอดกู้มากดอกเบี้ยผ่อนบ้านเดือนหนึ่งก็ถึงหลักหมื่น ดอกเบี้ยที่จ่ายธนาคารสามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นที่สร้างกำไร และหากนำเงินเก็บต่อเดือน ซึ่งจะผ่อนบ้านไปซื้อบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมในอนาคตน่าจะเข้าท่ากว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การขายบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลานาน หากทำเล ตลอดจนราคาไม่โดนใจผู้ซื้อก็อาจขายลำบาก
กระทู้นี้ดึงดูดความสนใจให้ผู้คนในสังคมออนไลน์คลิกเข้ามาอ่านและร่วมแชร์มุมมองตามประสบการณ์ส่วนตนจำนวนมากและหลากหลาย จนคล้ายจะเป็นเวทีโต้วาทีระหว่าง “ซื้อเป็นของเรา” กับ “เช่าเขาอยู่”
สมาชิกของเว็บบอร์ดบางรายแสดงความคิดเห็นว่า “ตราบใดที่ยังผ่อนไม่หมด บ้านก็เป็นทรัพย์สินของแบงก์” ดังนั้นหากใครจะตัดสินใจซื้อบ้านก็ควรคำนึงถึงประเด็นนี้ให้ดี เพราะถ้าไม่มีเงินส่งก็ถูกฟ้อง โดนบังคับคดีและขายทรัพย์สินทอดตลาด บ้านอาจจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราในตัวบ้าน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นหนี้สินที่ทำให้เราต้องจ่ายเงินออกจากกระเป๋าไปเข้าแบงก์ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เป็นประจำทุกเดือน โดยไม่สามารถสร้างกระแสเงินหรือรายได้ใด ๆ ให้ได้ ตามนิยามนี้ บ้านจึงเป็นทรัพย์สินของแบงก์ นอกจากซื้อมาแล้วไม่ใช่อยู่อาศัยเอง แต่ปล่อยเช่าโดยได้ประโยชน์ค่าเช่าจึงจะเรียกว่าทรัพย์สิน
สมาชิกอีกรายหนึ่งชมเชยว่ากระทู้นี้เตือนสติได้ดี เพราะยุคปัจจุบันยังมีคนจำนวนมากเชื่อมั่นว่า การซื้อบ้านคือทรัพย์สิน ดีกว่าเช่าเขาอยู่ โดยลืมไปว่าการซื้อบ้านที่ไม่ได้คิดอาศัยตลอดชีพและมี “เงินเย็น” พอดาวน์ได้ตามสมควรจะไม่คุ้มค่า เพราะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยมากมายหลายเท่าและรวยหนี้หัวโต ส่วนการคิดขายบ้านมือสองราคาสูงเพื่อหวังทำกำไร ก็อาจขายได้ยาก เพราะหากผู้ซื้อมีกำลังทรัพย์ย่อมพิจารณาเลือกบ้านใหม่มือหนึ่งมากกว่า
หลายรายเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ โดยให้เหตุผลว่า ในระยะยาวแม้ราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้นก็จริง แต่ก็ต้องเผื่อเรื่องค่าเสื่อมของตัวบ้านด้วย หากต้องการขายได้เร็วย่อมต้องลดราคาตามค่าเสื่อมของระยะการใช้งาน ผู้ขายอาจได้กำไรจากการปรับตัวของที่ดิน แต่หากซื้อมาขายไปในระยะสั้นอาจไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ยกเว้นว่าบ้านหลังนั้นจะอยู่ในโครงการหรือทำเลที่ดีมากจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกจำนวนหนึ่งแย้งว่า มนุษย์เราสิ่งสำคัญคือการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง คนบางคนสุขใจที่ได้อยู่บ้าน มากกว่าจะสนใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย การเช่าบ้านคนอื่นอยู่กับอยู่บ้านของตัวเองนั้น ระดับความสุขแตกต่างกันมาก การซื้อบ้านยังเหมือนการออมเงินรูปแบบหนึ่งและเป็นทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้ ผู้ซื้อบ้านยอมจ่ายดอกเบี้ยธนาคาร เพราะบ้านให้คุณค่าทางจิตใจมากกว่าแค่ที่ซุกหัวนอน ถึงจะเป็นหนี้ แต่ก็คือ “หนี้แห่งความสุข” เงินงวดที่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยก็เปรียบเหมือนค่าเช่าบ้านนั่นเอง ซ้ำไม่ต้องเสียเงินเช่าไปแต่ละเดือนอย่างไร้จุดหมาย ต่อให้ขายขาดทุนสักหน่อย ก็ยังถือว่าได้กำไรขณะใช้อยู่อาศัยมาแล้ว แต่หากตอนซื้อมีการวางแผนวิเคราะห์ทำเล ตอนขายก็มีโอกาสได้กำไรงาม การเป็น “เจ้าของ” จึงคุ้มค่าและย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการเป็นเพียง “ผู้เช่า” แน่นอน
เมื่ออ่านความคิดเห็นต่าง ๆ ในกระทู้นี้อย่างรอบด้านแล้วจะเห็นได้ว่ามีแง่คิดมากมาย ต่างคนต่างมุมมอง การวิพากษ์ว่าความเห็นของใครถูกผิดคงเป็นเรื่องยาก จึงอาจสรุปได้ว่า หากคิดซื้อหรือขายบ้าน ควรศึกษาหาข้อมูล ประเมิน วางแผน และพิจารณาปัจจัยแวดล้อมอย่างรอบคอบ ตลอดจนคำนึงถึงศักยภาพของตนเองเป็นหลัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ย่อมไม่มีสูตรสำเร็จใดที่จะให้คำตอบเหมาะสมสำหรับทุกคนได้แบบฟันธงลงตัว