ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง กรณีไหนไม่ครอบคลุม?
คงต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการมีรถยนต์สักคัน หลายคนอาจมองว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 ซื้อมาเพราะต้องการเพิ่มความอุ่นใจ เหมือนเครื่องรางที่พอมีไว้ก็จะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พร้อมเมื่อไหร่ก็ตามที่ประกันหมดแล้วเราไม่รีบต่อ อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจกันเลยทีเดียว แต่ความดีงามของประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่ได้มีเพียงแค่การป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น เพราะเมื่อเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้ความคุ้มครองเราครอบคลุมทุกด้านเหมือนกัน วันนี้เราจะพามาดูกันว่า ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง กรณีไหนไม่ครอบคลุม? ใครกำลังสนใจ ลองนำไปเป็นไอเดียประกอบการพิจารณาได้เลย
เช็กให้ชัวร์ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง
- ความเสียหายกับรถยนต์ของเรา
ประกันจะให้ความคุ้มครองกับรถที่มีการทำประกันเอาไว้ ไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการตกแต่งรถด้วย ไม่ว่าจะด้วยความสวยงาม หรือการใช้งานก็ตาม ที่สำคัญคือคู่ครองหมดทั้งรถของเรา และรถของคู่กรณี โดยไม่สนว่าเราเป็นคนที่ถูก หรือผิดกันแน่ แถมยังคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุโดยที่ไม่มีคู่กรณีอีกต่างหาก คุ้มครองไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วม ไฟไหม้ และสูญหายด้วย เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกความเสียหายสุดๆ
- ความเสียหายต่อบุคคลภายนอก
ถ้าเกิดว่าบุคคลภายนอกได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สิน ชีวิต หรือร่างกาย รวมถึงคู่กรณีของเราก็ได้รับความเสียหายแบบนั้นเหมือนกัน เหตุเกิดจากรถทำประกันชั้น 1 เอาไว้ ประกันสังคมรับผิดชอบจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เราตามจริงไม่ ตามจำนวนเงินที่มีการระบุเอาไว้ในกรมธรรม์
- คุ้มครองผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เวลาเกิดอุบัติเหตุ
คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่อยู่ในรถทั้ง 2 คัน บางครั้งอาจเกิดผลกระทบกับบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุของเรา และคู่กรณีอีกต่างหาก ประกันชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าเสียหายที่เกินจากความคุ้มครองตามพ.ร.บ. เป็นจำนวนขั้นต่ำตามที่บริษัทต้องรับผิดชอบ และยังรวมไปถึงเงินประกันตัวผู้ขับขี่กรณีโดนควบคุมตัวจากคดีอาญาอีกด้วย
กรณีที่ประกันรถชั้น 1 จะไม่คุ้มครอง
ถึงแม้ว่าประกันชั้น 1 จะคุ้มครองครอบคลุมมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าคุ้มครองทุกกรณี บริษัทประกันคงเสียเปรียบแย่ เพราะหลายครั้งอุบัติเหตุเกิดจากตัวผู้ใช้งานเองที่ทำผิดกฎระเบียบ มันจึงมีหลายกรณีเหมือนกันที่ประกันชั้น 1 เองก็ไม่คุ้มครอง ดังนี้
- เมาแล้วขับ
ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุแล้วตรวจปริมาณแอลกอฮอล์พบว่ามีเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในร่างกาย แล้วนับว่าเรามีอาการเมาทันที ดังนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วเรามีอาการเมาตามกฎหมาย ประกันรถยนต์ไม่ว่าจะชั้นไหนก็ไม่ให้ความคุ้มครองทั้งนั้น
- ใช้รถผิดกฎหมาย
ถ้าเรานำเอารถไปใช้ผิดกฎหมาย อย่างเช่นการกระทำความผิด การทำร้ายร่างกายคนบนรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุ การขโมยของ การหลบหนีตำรวจ หรือแม้แต่พุ่งชนด่าน ประกันรถยนต์ทุกชั้นจะไม่ให้ความคุ้มครองในกรณีนี้
- การแข่งความเร็วบนทางสาธารณะ
ถ้าเรานำเอารถยนต์ไปแข่งขันความเร็วบนทางสาธารณะ หรือทางหลวง ประกันรถยนต์ทุกชั้นจะไม่ให้ความคุ้มครอง เพราะถือว่าเราตั้งใจขับรถยนต์ทั้งที่รู้ว่ามีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากเป็นพิเศษ หรือหวังผลว่าหากเกิดอุบัติเหตุแล้วสามารถขอเป็นประจำได้
- การใช้รถยนต์แบบผิดประเภท
รถยนต์ส่วนบุคคลที่ทำประกันชั้น 1 สามารถใช้ในการเดินทางโดยสารไปไหนมาไหนได้ ตามปกติ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาจากเดินทางวันเสาร์ไปไหนมาไหน ประกันก็ให้ความคุ้มครองตามนั้น แต่ถ้าเราใช้ผิดประเภท เอาไปใช้เชิงพาณิชย์ ต่อมาเกิดอุบัติเหตุจนรถยนต์ได้รับความเสียหาย ประกันจะไม่รับผิดชอบ หรือชดใช้ผู้เสียหายให้กับเรา เพราะเราไม่ทำตามเงื่อนไขตามในกรมธรรม์นั่นเอง
- การดัดแปลงรถยนต์โดยที่ไม่แจ้ง
ความจริงแล้วเราสามารถดัดแปลง แต่งเติม หรือตกแต่งรถยนต์ได้ตามความชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสวยงาม การเร่งความเร็ว เพิ่มสมรรถภาพของรถยนต์ แต่ทุกครั้งที่มีการดัดแปลง ตกแต่ง หรือแต่งเติม เราจำเป็นจะต้องแจ้งบริษัทผู้ให้บริการเราทุกครั้ง รวมไปถึงการติดแก๊สด้วย เพราะการดัดแปลงสภาพรถทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ถ้าเราดัดแปลงโดยที่ไม่แจ้งบริษัทประกัน แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา บริษัทก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบเหมือนกัน
ใช้รถประจำ ซื้อประกันชั้น 1 ดีไหม คุ้มไหม
คำถามที่ว่าประกันชั้น 1 มีค่าหรือเปล่า แน่นอนว่าคำตอบของมันคือคุ้ม เพราะประกันชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราแทบจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ต้องชดใช้เลย และแน่นอนว่ามันจะเป็นเงินที่มากกว่าเบี้ยประกันที่เราเสียไป ใครที่กำลังลังเลว่าเพิ่มเงินซื้อเป็นประกันชั้น 1 ไปเลยดีไหม เราขอแนะนำว่าซื้อเลย รับรองอุ่นใจ ไม่ผิดหวัง
คงพอเห็นภาพโดยรวมแล้วว่า ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้างสรุป หากถามว่าซื้อประกันรถ ชั้น 1 คุ้มมั้ย แน่นอนว่ามันต้องคุ้มค่ามากกว่าประกันชั้น 2 หรือชั้น 3 อยู่แล้ว เพราะให้ความคุ้มครองครอบคลุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ละเจ้าก็มีความคุ้มครอง และวงเงินคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป เพิ่งจะส่งผลต่อเบี้ยประกันด้วย เราต้องพิจารณาให้ดีว่าเรามีงบประมาณซื้อประกันมากน้อยแค่ไหน อยากได้ความคุ้มครองอะไรบ้าง เป็นวงเงินเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้เราสามารถเลือกซื้อได้ตรงตามความต้องการมากขึ้นกว่าเดิม