ตลอดระยะเวลาของการครองราชย์กว่า 70 ปีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเคยพระราชทาน คำพ่อสอน ที่เป็นพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทในโอกาสต่าง ๆ กันไว้อย่างมากมาย ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ก็เป็นเพราะพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ทำให้ประเทศไทยเราผ่านพ้นวิกฤตเหล่านั้นมาได้ทุกครั้ง ทำให้ประเทศไทยเรายังเป็นประเทศที่ประชาชนยังอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขจวบจนถึงทุกวันนี้
แต่ในวันนี้วันที่ไม่มีพระองค์ท่านอีกต่อไป เราในฐานะประชาชนคนไทยจะต้องไม่ลืมพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านทรงเน้นในเรื่องของความสามัคคีของคนไทยชาติ ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพียงใดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการบ้านเมืองก็จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน ไม่อย่างนั้นแล้วบ้านเมืองก็จะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้
พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านได้ทรงเคยพระราชทานไว้กับบุคคลคณะต่าง ๆ ในโอกาสต่าง ๆ ที่เน้นในการเตือนสติคนไทยให้รักและสามัคคีกันนั้น วันนี้เราขอนำมารวบรวมไว้เพื่อให้ได้อ่านกันอีกครั้งหนึ่ง
“…ประเทศไหนประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี มีระเบียบวินัยดี ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี ยิ่งมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันมาก ก็ยิ่งเจริญมาก จึงเห็นได้ว่า ความสามัคคีกลมเกลียวกันในระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยนี้ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่จะช่วยนำประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร…”
พระราชดำรัสพระราชทานในงานสมโภชเนื่องในโอกาสนิวัติพระนคร 19 มกราคม พ.ศ. 2504
“…ความสามัคคีนั้นอาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกัน ความจริงงานทุกอย่างหรือการอยู่เป็นสังคมย่อมต้องมีความแย้งกัน ความคิดต่างกันซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา ถ้าเราใช้หลักวิชาและความปรองดองด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่าง ๆ ย่อมเป็นประโยชน์…”
พระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้รับพระราชทานเครื่องอิสริยภรณ์ชั้นสายสะพาย 29 ตุลาคม พ.ศ. 2517
“…สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่…”
พระราชดำรัสพระราชทานเพื่อตีพิมพ์ลงนิตยสารของสโมสรไลออนส์แห่งกรุงเทพฯ 31 มีนาคม พ.ศ. 2538
“…ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญ ที่จะยังความพร้อมเพรียงให้เกิดมีขึ้น ทั้งในหมู่คณะและในชาติบ้านเมือง และถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำอยู่ในจิตใจ ก็มีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงความมั่นคงต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน…”
พระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555
พระองค์ท่านได้ย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคีที่คนในชาติจะต้องมีเพื่อให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและการทำงานร่วมกัน แน่นอนอยู่ที่จะต้องมีความขัดแย้งหรือเห็นต่างกันได้อยู่แล้ว แต่ต้องไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งกัน การเห็นต่างด้วยการใช้ปัญญาหรือการใช้เหตุผลจะช่วยให้การแย้งกันนั้นเกิดประโยชน์ขึ้นได้
เหตุการณ์หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานั้น แม้บรรยากาศทั่วทั้วประเทศไทยจะตกอยู่ในความเศร้าโศกสูญเสียเพียงใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราเห็นกันได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือร่วมใจ สมัครสมานสามัคคี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินทางไปร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีให้กับในหลวงที่ท้องสนามหลวง การพร้อมใจกันเดินทางไปร่วมลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ทางราชการเปิดให้ประชาชนเข้าลงนามได้ และล่าสุดการพร้อมเพรียงกันเดินทางไปร่วมสักการะพระบรมศพของพระองค์ท่านที่หน้าพระบรมโกศ ทุกคนสามารถละทิ้งภาระหน้าที่เพื่อรวมใจกันมาทำสิ่งนี้เพื่อในหลวงของเรา
นี่เป็นเครื่องหมายที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันของประชาชนชาวไทย หากเราลองนึกดูว่าถ้าเป็นเหตุการณ์หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เราแสดงความพร้อมเพรียง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เหมือนกับเรื่องนี้ เราอาจไม่ต้องแสดงออกเต็มร้อยเหมือนกับเรื่องนี้ก็ได้ แต่เป็นการแสดงออกร่วมใจกันแค่เพียงคนละเล็กคนละน้อย เราก็จะมั่นใจได้ว่าความสามัคคีและพร้อมเพรียงที่เกิดขึ้นนี้จะนำพาประเทศไทยของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
นี่ยังเป็นเครื่องหมายแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าประชาชนคนไทยพร้อมที่จะหาทางออก หาทางแก้ไขปัญหาในทุกเรื่องด้วยความเข้าใจกัน ด้วยความมีเหตุมีผล ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดที่เป็นปัญหาใหญ่ที่เราจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้
เหตุการณ์สวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้หลายคนที่อยากทะเลาะกัน หยุดทะเลาะกัน อย่างเช่น นักเรียนอาชีวะที่ออกมาประกาศว่าจะยุติการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงของเรา อยากให้ทุกคนยึดถือเวลาในช่วงนี้เป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติดี สามัคคีกัน ไม่ทะเลาะกัน ในทุกที่ทุกเวลาจากนี้ไป ไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่เราสูญเสียกันเท่านั้น เพราะนั่นน่าจะไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ท่านต้องการ
จากนี้ไปหากมีเหตุการณ์ใดที่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่เห็นอกเห็นใจกัน หรือความไม่สามัคคีกันของคนในชาติ อยากให้คนที่เกี่ยวข้องหรือแม้แต่เราประชาชนคนไทยหวนนึกถึงพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านที่ได้ทรงเคยให้ไว้ ยึดมั่นคำสอนของพ่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจกระทำการใด ๆ ก็ตาม เพื่อเป็นการเตือนสติให้เราระลึกอยู่เสมอถึงความสามัคคีที่เราต้องมีเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้