ที่บ้านของเฮียคัง มีหนังสือเกี่ยวกับการเงินการลงทุนเต็มไปหมด พ่อรวยสอนลูก เล่นหุ้นออนไลน์ง่ายนิดเดียว หุ้นเงาพันเท่าแค่เอื้อม คนเก่งรู้จักก้าว Money 101 เงินสี่ด้าน ปรัชญาการลงทุนของวอร์เรนบัฟเฟตต์ และอีกสารพัดหนังสือการเงินการลงทุน แต่เฮียคังก็ยังไม่รวย ยังล้มลุกคลุกคลาน มีเงินใช้เดือนชนเดือน และเจ๊งหุ้นเป็นปกติ ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ทำไมเฮียคังถึงไม่รวยทั้งๆที่อ่านหนังสือตั้งมากมาย เรียนก็สูง คอนเน็กชั่นก็เยอะแยะ และแกก็เป็นคนขยัน
ลองมาเจาะดูประวัติและความคิดของแกให้ลึกลงไปอีกสักนิด เฮียคังเริ่มต้นมองหาความร่ำรวยตั้งแต่สมัยที่แกเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ด้วยพื้นฐานความเชื่อ 2 ข้อคือ ความร่ำรวยจะทำให้แกมีความสุข และเชื่อว่าแกมีความสามารถมากพอที่จะเป็นคนร่ำรวยขึ้นมาได้ เมื่อเรียนจบ เฮียคังก็หางานทำ พยายามหางานที่เงินเดือนสูงๆ ด้วยเชื่อว่า งานดี เงินย่อมต้องดี และทำให้เขารวยได้ แต่แล้วฝันสลายเพราะตอนที่แกเรียนจบนั้น เกิดวิกฤตการเงินของประเทศพอดี งานดี เงินดี จึงหายากมากๆ สุดท้ายจึงได้งานธรรมดา เงินเดือนธรรมดา แต่ด้วยความที่จะต้องรวยให้ได้ จึงอาศัยเวลาว่างจากงานประจำทำอย่างอื่นไปด้วย ทำงานหนักสายตัวแทบขาด จนมีรายได้หลักแสน แต่ก็พออยู่เดือนชนเดือนเท่านั้น เพราะมีภาระทางบ้าน และมีหนี้ที่ก่อไว้มากมาย หาเงินมาได้ก็ใช้หนี้หมด ไม่มีเหลือเก็บ ทำให้เขาตระหนักได้ว่า การทำงานหนักไม่ได้ทำให้รวย ความจริงเงินล้านที่เขาหวังไว้ เขาหามันมาได้แล้ว แต่ก็ปล่อยให้มันไหลออกไป กักเก็บไว้ไม่ได้ ขณะที่เพื่อนร่วมงานและลูกน้องของเขา รายได้น้อยกว่า แต่กลับมีเงินเก็บ มีทองหยองสะสมเอาไว้ เขาเริ่มคิดได้ว่า การจะรวยนั้นไม่ได้ขึ้นกับว่า หาเงินได้เท่าไหร่ แต่อยู่ที่ใช้จ่ายยังไงมากกว่า
เมื่อเฮียคังเริ่มรู้ว่า การใช้จ่ายต่างหากที่เป็นตัวกำหนดความร่ำรวย เขาก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำ และเหนื่อยหนักหนาเช่นเดิม แต่ระวังการใช้จ่ายของตัวเองมากขึ้น เมื่อลองทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเองดูครั้งแรก พบว่าสิ่งที่กัดกินแรงงานของเขามากที่สุดคือหนี้สินนั่นเอง ในบัญชีของเฮียคังมีแต่รายจ่ายที่ต้องใช้ไปกับการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต และต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเป็นเงินมากโขอยู่ หนี้บางรายการเกิดจากการอยากมีหน้ามีตาทัดเทียมกับคนอื่น หนี้บางรายการเกิดจากความอยากได้แบบอารมณ์ชั่ววูบ จนเขาตระหนักได้ว่า เป็นการกระทำที่โง่เขลา เฮียคังจึงตัดสินใจ ขายบ้าน แล้วไปอยู่บ้านเช่า เลิกใช้บัตรเครดิต และทยอยชำระหนี้จนหมด และได้บทเรียนว่า เขาต้องสร้างทรัพย์สินก่อน จึงค่อยสร้างหนี้
เฮียคังเริ่มคิดถึงวันที่เขาแก่ และทำงานไม่ไหว จะเอาเงินที่ไหนมาใช้อยู่ ใช้กิน เขาคิดได้ว่าทำไมจึงไม่หาเงินเพื่อสร้างความร่ำรวย ไปพร้อมกับการสะสมความมั่งคั่งให้มั่นคงไปถึงในอนาคตด้วย เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงเริ่มต้นลงทุนทีละเล็กทีละน้อย พร้อมๆกับเรียนรู้เรื่องการทำประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงไปด้วย เขาเริ่มลงทุนในหุ้น ซื้อหาหนังสือเกี่ยวกับการเงินการลงทุนการเล่นหุ้นเป็นสิบๆเล่ม ด้วยความที่เป็นมือใหม่ เขาขาดทุนไปกับตลาดหุ้นเป็นเงินหลายแสนบาท เขาสงสัยว่า อ่านหนังสือมาก็มาก เรียนก็สูง สติปัญญาก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ทำไมเขาถึงขาดทุนในตลาดหุ้น
เรื่องราวของเฮียคังจบลงตรงนี้ จบตรงที่มีความรู้มากก็จริง แต่ไม่สามารถนำพาชีวิตให้ประสบความสำเร็จทางการเงินได้ หนังสือทั้งหลายอ่านซ้ำเป็นสิบรอบ ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เรื่องของเฮียคังชวนให้นึกถึงคนเก่งหลายๆคนที่มาเสียท่าให้กับตลาดหุ้นและการลงทุน หรือจะเข้าทำนองที่คนโบราณกล่าวว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด