รวย รวย รวย ใคร ใครก็อยากรวย ใคร ใครก็อยากเป็น คนรวย แต่จะยังไงล่ะ ให้เราเป็นคนรวยกับคนอื่นเค้าบ้าง …. ไม่ยากเลย เพียงแต่เรามาเริ่มสร้างชีวิตแบบอัตโนมัติกัน แล้วชีวิตแบบอัตโนมัติ คือ อะไร แล้วจะเริ่มกันยังไงดี ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองก่อนว่า รวยของเราคืออะไร รวย คือ การมีเงินมากแค่ไหน ดังนั้น อย่าลืมกำหนดโจทย์ให้ตัวเองกันนะ เช่น มีเงินเก็บก้อนแรก 5 ล้านบาทภายใน 1 ปี หรือ มีเงินเก็บก้อนแรก 10 ล้านบาทภายใน 1 ปี …. หรือเป้าหมายอื่นๆ อีกมากมาย
ซึ่งเราควรจะประเมินตัวเราด้วยว่า สถานะปัจจุบันของเราจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้จริงหรือเปล่า เช่น ถ้าเรามีเงินเดือนเพียงเดือนละ 20,000 บาท หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว จะเหลือใช้เพียง 5,000 บาท อีกทั้งเราไม่มีรายได้เสริมอะไรเลย ดังนั้นถ้าเราจะตั้งว่าจะมีเงินเก็บ 5 ล้านบาทภายใน 1 ปี มันก็ดูจะยากเกินไป ถ้าลดลงมาหน่อย เช่น มี 500,000 บาทภายใน 1 ปี ก็ดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ถ้าตั้งเป็นแค่ 50,000 บาท ภายใน 1 ปี ก็ดูจะง่ายเกินไป เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราต้องทำได้จริง ไม่ยากจนเกินจริง แต่ก็ไม่ควรง่ายจนเกินไป
อันนี้ขออ้างอิงจากโค้ชการเงินของต่างประเทศที่ชื่อเดวิด บาค ที่ได้สร้างวิธีคิดเรื่องการเป็นเศรษฐีอัตโนมัติหรือ The Automatic Millionaire อันดับแรก เปลี่ยนความคิดของตัวเองก่อน ว่าทุกเดือนที่ได้รับเงินจากการทำงานมา จะต้องจ่ายเงินให้ตัวเองก่อนที่จะไปจ่ายให้คนอื่น คือ แบ่งเงินมาเป็นเงินออมหรือฝากเงินให้ตัวเองก่อน แล้วนำเงินที่จ่ายให้กับตัวเองก้อนนี้ไปลงทุน เหลือเท่าไรค่อยไปใช้จ่ายให้คนอื่นๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าท่องเที่ยว ค่าสังสรรค์ …..อีกมากมาย
ถัดมาคือ ถ้าเราชอบกินกาแฟ ชอบกินขนม หรือจะเป็นของที่ทำร้ายร่างกายเราอย่างบุหรี่ เหล้า เบียร์ ถ้าเราลองลดการกินกาแฟ ลดการกินขนม การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ แล้วเอาเงินที่จ่ายกับสิ่งทั้งหลายที่ว่ามาใส่กล่อง พอสิ้นเดือนเปิดมาดูก็จะว้าวววว เราหมดเงินไปกับกาแฟ ขนมจุกจิก บุหรี่ เหล้า เบียร์เยอะอย่างนี้เลยเหรอ เพราะสมัยนี้กาแฟบางร้านก็มีราคาสูงกว่ากินข้าว 1 มื้อเสียอีก หรือไม่แน่ว่ากาแฟแก้วนึงอาจจะกินข้าวได้ 3 มื้อเลยก็เป็นได้ บุหรี่ 1 ซอง เหล้าหรือเบียร์ 1 ขวดก็หลายบาทอยู่เหมือนกัน ส่วนผลพลอยได้อีกอย่างก็คือ สุขภาพเราก็จะดีไป ผลที่ตามมาก็คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการหาหมอได้อีกทาง…เห็นข้อดีกันแบบนี้แล้ว เรามาค่อย ค่อยลดกันทีละนิด ทีละหน่อย ล่ะกัน ทำแบบค่อยเป็นค่อยไปก็น่าจะลองกันดูนะ
ต่อไปก็เริ่มชีวิตแบบอัตโนมัติกัน ก็คือ ทำทุกอย่างให้เป็นอัตโนมัติ แล้วมันคืออะไรล่ะ ต้องทำยังไงล่ะ ไม่ยาก เราก็แค่แจ้งหักรายการทุกสิ่งอย่างผ่านบัญชีเงินฝากของเรา โดยเริ่มที่การหักเงินให้กับตัวเองก่อนเลย คือหักเงินเพื่อไปฝากบัญชีธนาคารที่เราเปิดเพื่อเป็นเงินออม หักเพื่อไปซื้อกองทุน LTF RMF สุดท้ายก็หักเพื่อค่าใช้จ่ายประจำเดือนต่างๆ จำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าประกันชีวิต แล้วเงินที่เหลือจากการหักต่างๆ ก็คือ เงินที่จะไว้ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
สุดท้าย คือ การใช้ชีวิตแบบไม่มีหนี้สิน ซึ่งยากอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ยากเกินที่เราจะทำกัน …. สิ่งแรกที่ควรทำก่อน คือ หนี้บัตรเครดิต เพราะหนี้ตัวนี้เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เกิดจากความอยากมี อยากได้ตามกระแสสังคม ตามเพื่อรอบข้าง เพราะฉะนั้นถ้ามีหนี้บัตรเครดิตแล้วก็ให้หยุดใช้บัตรไปก่อน จนกว่าจะเราจะจ่ายคืนได้หมด และเมื่อจะใช้ใหม่เราจะต้องมั่นใจตัวเองให้ได้ว่ามีเงินจ่ายคืนเต็มจำนวนที่ใช้บัตรเครดิตไปทุกครั้ง ห้ามจ่ายขั้นต่ำเด็ดขาด เพราะดอกเบี้ยของบัตรเครดิตมันก็ทบต้นเหมือนกับดอกเบี้ยเงินฝากเหมือนกัน แต่มันจะเป็นขากลับกัน คือ แทนที่เราจะได้รับ เรากลับเป็นผู้จ่ายออกไป
หนี้อีกตัวก็คือ หนี้สินจากการซื้อรถยนต์ หากการเป็นหนี้เพราะซื้อรถยนต์ไม่ได้สร้างรายได้เพิ่มขึ้น หรือลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ก็อย่าเพิ่งซื้อรถยนต์กันเลย ลองคิดกันเล่น ถ้าเราซื้อรถยนต์ด้วยเงินผ่อนมา 1 คัน สิ่งที่ตามมา คือ ค่างวดที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ค่าน้ำมันรถ ค่าประกันรถยนต์ ค่าบำรุงรักษา และอื่น อื่น อีกมากมาย หรือบางทีส่งค่างวดยังไม่หมดเลย รถยนต์เริ่มเกเรกับเราแล้ว เพราะเราเลือกผ่อนระยะยาวถึง 7 ปี แต่ถ้าชั่งน้ำหนักแล้วมีรถยนต์จะช่วยให้เราประหยัดค่าเดินทางของครอบครัวได้ ช่วยให้เราสามารถขนของใส่รถไปขายได้ อันนี้ก็เห็นด้วยกับการมีรถยนต์ไว้ใช้สักคัน แต่ควรเลือกให้เหมาะกับฐานะและรายได้ของเราด้วยนะ
แล้วทำแค่นี้เราจะรวยได้ยังไงล่ะ คำตอบ คือ ได้สิ เพราะนี้คือ จุดเริ่มต้นของการมีวินัยทางการเงินของเรา แล้วเราก็นำเงินที่เหลือไปเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีๆ บวกกับระยะเวลาที่เราเริ่มทำ ถ้ามีหลาย หลายปี เงินเราก็จะเริ่มมากขึ้น มากขึ้น…เหมือนหลักการของดอกเบี้ยทบต้น ที่ยิ่งนานวัน ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนทำให้เรากลายเป็นคนรวยตามเป้าหมายของเรา หรืออาจจะเกินเป้าหมายของเราไปด้วยซ้ำ