เวลาที่คุณทำงานบริษัท เงินเดือนของคุณทุกเดือน จะถูกหักเข้ากองทุนประกันสังคม ซึ่งทุกเดือนบริษัทจะทำการหักเงิน 5% ของเงินเดือนของคุณ โดยเงินเดือนขั้นสูงสุดที่หักได้ก็จะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งจะเป็นจำนวนเงิน 750 บาท ทราบหรือไม่ว่าเงินที่ถูกหักไปนี้ มันไปอยู่ที่ไหนบ้าง และใน 5% ดังกล่าวจะประกอบด้วยอะไรบ้าง เมื่อคิดในกรณีเงินสูงสุด 750 บาท ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจกันค่ะ ใครที่รู้ตัวว่าทำงานบริษัทและได้ถูกหักเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนเหมือนกัน ต้องมาอ่านบทความนี้กันเลย ไม่งั้นคุณอาจจะพลาดสิทธิพิเศษที่คุณจะได้รับไปก็ได้นะ โดยเฉพาะคนที่ใกล้ถึงอายุวัยเกษียณ พลาด ขอคืนเงินออมประกันสังคม ไม่ได้เลยนะจ๊ะ
ทราบหรือไม่ว่าเงินที่ถูกหักจากประกันสังคมนี้ มันไปอยู่ที่ไหนบ้าง (คิดในกรณีเงินสูงสุด 750 บาท )
การที่มนุษย์เงินเดือนถูกหักเงินประกันสังคม ห้าเปอร์เซ็นต์ หลายคนถามว่า ถูกหักไปไหน มาดูคำตอบกันว่า 1.5% แรก หรือ 225 บาท จะนำไปประกันเจ็บป่วย ตาย , 0.5% คือ 75 บาท จะนำไปประกันการว่างงาน และ 3% เท่ากับ 450 บาท จะนำไปประกันชราภาพ สรุปว่าคุณจะถูกหักเป็นเงินออมชราภาพทุกเดือน ๆ ละ 450 บาท ปีละ 5,400.-บาท โดยผลประโยชน์ที่ได้รับจากการออมเงิน 1 ปี 5,400 บาท คือท่านจะได้เงินสบทบอีก 100% จากนายจ้างอีก 5,400 บาท และยังได้ดอกเบี้ยจากประกันสังคม ในแต่ละปี ที่คุณส่งเงินสมทบอีกด้วย สมมติคุณส่งเงินปี 50 และ ปี 51 ได้ดอกเบี้ย 4.2% และ 4.5 % ตามลำดับ
ดังนั้นเมื่อคุณจะ ขอคืนเงินออมประกันสังคม คุณจะได้รับเงินในแต่ละปีเท่ากับ 5,400 บาท (จากที่คุณจ่าย) +5,400 บาท (จากนายจ้าง) + ดอกเบี้ยที่ได้จากประกันสังคมประจำปีนั้น ถ้าคุณส่งทั้งหมด 10 ปี คุณจะเห็นว่าเงินที่ขอคืนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว จึงอยากจะเตือนทุก ๆ คนว่าอย่าลืมขอคืนเงินเมื่อเกษียณอายุด้วย เพราะหากคุณไม่ทำเรื่องขอเงินคืนเมื่อเกษียณอายุ ก็เท่ากับว่าคุณจะเสียสิทธิและเสียเงินส่วนนั้นไปอย่างน่าเสียดายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นอย่าลืมไปขอคืนเงินส่วนนี้กันด้วยนะ
การเกษียณอายุที่จะต้องทำเรื่องขอเงินออมจากประกันสังคมคืน
ส่วนหลักเกณฑ์ที่จะบอกว่าเกษียณคืออะไรนั้น คือ คุณต้องมีอายุ 55 ปีก่อนถึงจะมีสิทธิเบิกเงินจำนวนดังกล่าวได้ หรือถ้าอายุ 55 ปีแล้วยังทำงานอยู่ก็จะเบิกได้จนกว่าคุณจะเลิกทำงาน ซึ่งก็คือเมื่อเลิกส่งประกันสังคมนั่นเอง และที่สำคัญ จะต้องทำเรื่อง ขอคืนเงินออมชราภาพ ให้เสร็จสิ้นก่อน 1 ปีหลังจากเกษียณ และย้ำว่าห้ามให้เกินแม้แต่วันเดียว เพราะคุณจะถูกตัดสิทธิทันที รู้แบบนี้แล้วใครที่ใกล้ถึงวัยเกษียณต้องเตรียมตัวกันหน่อยแล้วล่ะ อายุครบ 55 ปุ๊บ เลิกทำงานเลิกส่งประกันสังคมปุ๊บ ก็ไปเบิกเงินคืนจากประกันสังคมกันได้เลย และที่สำคัญต้องยื่นเรื่องภายใน 1 ปี หลังอายุวัยเกษียณนะ ไม่งั้นหมดสิทธิแล้วจะมาว่ากันไม่ได้นะคะ
เงินออมประกันสังคมหลังเกษียณ
สำหรับคนที่อายุ 55 ปี ต้องการจะขอคืนเงินแต่ทำงานมาน้อยกว่า 15 ปี หรือส่งประกันสังคมน้อยกว่า 15 ปี ทางสำนักงานประกันสังคม จะจ่ายเงินเป็นก้อนหรือที่เรียกกันว่า “บำเหน็จ” แต่ถ้าส่งเงินประกันสังคมเกิน 15 ปี จะได้เป็นบำนาญ โดยในแต่ละปีที่เกินมา จะได้เงินเพิ่มร้อยละ 1% ซึ่งหมายความว่า ถ้าส่งประกันสังคม 20 ปี จะได้ 15% (ขั้นต่ำ) + 5% (5 ปีที่เกินมา) รวมเป็น 20% โดยจะคิดจากเงินเดือนสูงสุดคือ 15,000 บาท สรุปได้ว่าคุณจะได้รับเงินบำนาญจากประกันสังคม เดือนละ 3,000 บาททุกเดือน ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ นี่ก็นับว่าคุ้มค่ากับเงินที่ได้รับตอบแทนในแต่ละเดือนแล้วล่ะ อย่าปล่อยให้สิทธิส่วนนี้ของตัวเองหายไปเพราะดูว่าเป็นเงินแค่เล็กน้อย เพราะหากเทียบกับชีวิตวัยเกษียณแล้ว เงินส่วนนี้จำเป็นไม่ใช่น้อยเลยล่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าวงเงินแค่ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ จากที่เราๆท่านๆ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนได้โดนหักไปในแต่ละเดือน ก็สามารถทำให้กลายเป็นเงินออมได้ เป็นเงินที่มีค่าขึ้นมาได้ หากมีการจัดการได้ตามระบบหรือแบบแผน และมีการจ่ายเงินค่าประกันสังคมอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการรวมกันเข้าหลาย ๆ ปีมันก็ไม่น้อยเลย แถมถ้าส่งเงินประกันสังคมเกิน 15 ปี จะได้เป็นบำนาญ เอาไว้เลี้ยงชีพยามชราได้อีกด้วย สิทธิประโยชน์สำหรับคนทำงานเช่นนี้ รู้ไว้ได้ประโยชน์
หากคุณยังไม่เข้าใกล้วัยเกษียณ ก็สามารถบอกต่อไปยังคุณน้า คุณอา คุณป้า คุณลุงได้ จะได้ไม่เสียสิทธิที่พึงได้เช่นกัน เงินออมหลังจากการเกษียณอายุที่มนุษย์เงินเดือน ทำงานมาตั้งแต่สาวยันแก่สมควรจะได้ เชื่อหรือไม่ว่ามีหลายคนที่ทิ้งสิทธิ์เหล่านี้ไป โดยคิดว่าเป็นเงินเพียงน้อยนิด หรือแม้แต่คนที่ตกงานแล้วไม่ได้ไปแจ้งสิทธิ์คนว่างงาน ก็ทำให้จำนวนเงินนั้นสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ในเมื่อมีผลประโยชน์เช่นนี้ การออมเงินหลังเกษียณอายุแม้จะไม่มาก แต่ก็คือเงินที่เราได้สะสมมานั่น ซึ่งก็เหมือนกับเราได้เงินกลับคืนมาโดยไม่สูญเปล่านั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้สิทธิของตัวเองหายไป เพียงเพราะไม่ได้สนใจหรือมองว่าเป็นเงินเพียงน้อยนิดเท่านั้น