นักธุรกิจหลายท่านที่ประสบความสำเร็จในอดีตจนถึงปัจจุบันทุกคนย่อมไม่เคยมีใครที่ลืมช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่เคยประสบกันมากว่าที่จะสามารถมายืนอยู่ในจุดที่สำเร็จได้
ในบางคนนั้นก็เจออุปสรรคที่แตกต่างกันออกไปทั้งน้อยและใหญ่ในช่วงระหว่างทางของการมายืนตรงจุดที่สำเร็จแต่ในบางคนเส้นทางราบลื่นไม่เคยเจออุปสรรคขัดขวางแต่กลับต้องมาเจออุปสรรคในช่วงที่ไต่ขึ้นมาได้แล้ว เพราะอุปสรรคและปัญหาต่างๆที่พวกเค้าได้พบเจอไม่เคยส่งจดหมายมาเพื่อแจ้งล่วงหน้าว่าจะมาตอนไหนพวกเค้าจึงจำเป็นต้องพร้อมที่จะต้องเจออุปสรรคเหล่านั้นอยู่เสมอตั้งแต่คิดที่จะสร้างธุรกิจ
หากท่านติดตามข่าวเกี่ยวกับนักธุรกิจหลายๆคนท่านอาจจะเคยเห็นมีนักธุรกิจไม่น้อยที่เคยประสบความสำเร็จแต่ก็ร่วงลงไปที่จุดเริ่มต้นเหมือนเดิมบางคนถึงขั้นล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยก็มี แต่ด้วยวิญญาณของความเป็นนักธุรกิจที่ยังคงมีอยู่บางคนเลือกที่จะลุกขึ้นมาสร้างใหม่หลังจากที่เพิ่งพ่ายแพ้ไปอย่างแสนสาหัสเพราะการเป็นนักธุรกิจก็คือผู้ที่ต้องสามารถพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสให้ได้มากที่สุดพวกเค้าจะไม่ยอมแพ้ให้แก่โชคชะตา จึงมีนักธุรกิจหลายคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาได้อย่างสง่างาม หากคนเราทุกคนสามารถทำและมีความ คิดแบบนักธุรกิจ หลายๆคนทุกวันนี้คงจะไม่มีคำว่าคนจนและคนรวยแบ่งแยกชนชั้นกันอยู่อย่างแน่นอนแต่จะมีแค่คนพอมีพอกินและคนรวยเท่านั้น
เพราะคนเราเกิดมาไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้จึงมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกันออกไป บางคนโชคดีหน่อยไม่ได้เกิดมาร่ำรวยแต่มีพรสวรรค์ที่สามารถนำทางตนเองไปสู่ความสำเร็จได้แต่ในบางคนที่ไม่ได้ร่ำรวยไม่มีพรสวรรค์แต่พวกเค้าก็เลือกที่จะเดินทางให้ถึงความสำเร็จเหมือนคนอื่นได้ด้วยพรแสวงจากหนึ่งสมองและสองมือสองเท้าของตนเองอาจจะก้าวได้ทีละก้าวอย่างช้าๆไม่สามารถก้าวเร็วเหมือนคนอื่นได้แต่ก็สามารถนำพาตนเองไปสู่ความสำเร็จได้เช่นกันจะถึงช้าหรือเร็วอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะยังไงจุดหมายก็คือความสำเร็จที่เดียวกันบางทีลองเดินบ้างวิ่งบ้างกระโดดบ้างตามจังหวะของช่วงชีวิตก็จะยิ่งทำให้เรามีความแข็งแกร่งมากขึ้น และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จคือท่านต้องประคองและต่อยอดธุรกิจของตนเองให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปแม้ว่าความสำเร็จจะคือจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เคยตั้งไว้แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องเพิ่มจุดมุ่งหมายและเป้าหมายที่สูงกว่าเข้าไปยิ่งสำเร็จแล้วก็ต้องหาวิธีให้สำเร็จขึ้นไปอีกอย่าหยุดอยู่กับที่เพราะธุรกิจยังไงก็ไม่มีวันหยุดนิ่งถ้าไม่ก้าวต่อไปข้างหน้าก็มีอีกทางคือก้าวถอยหลัง
เหมือนอย่างนักธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่น คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ที่เคยเป็นตำนานนักลงทุนในตลาดหุ้นและนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีทรัพย์สินกว่าพันล้านเคยมีลูกน้องกว่า 40 ชีวิตมีสำนักงานใหญ่โตอีกทั้งเคยนั่งทำงานในห้องแอร์แต่ชีวิตต้องมาพลิกผันจนล้มละลายจากเศรษฐีระดับพันล้านกลายมาเป็นพ่อค้าขายแซนด์วิชอยู่ริมถนนในนาม ศิริวัฒน์แซนด์วิช ที่หลายๆคนคงรู้จักดี และยังคงมีลูกน้องที่รักและยังอยากทำงานกับเค้าอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเค้าล้มละลายจากชีวิตที่เคยร่ำรวยต้องปรับเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างแต่ด้วยความรักลูกน้อยจึงไม่เคยปรับลดเงินเดือนลูกน้องที่มีเหลืออยู่ 20 คนและก็ไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตจากสูงที่สุดของเค้าตกลงมาที่ต่ำที่สุดด้วยการขายแซนด์วิชเพื่อสร้างรายได้จนมีชื่อเสียงและพอที่จะอยู่ได้และไม่เยลืมคำสอนของพ่อแม่ที่สอนเค้าไว้ว่า “วันหนึ่งได้เป็นเจ้าคนนายคนอย่าทิ้งลูกน้อง พนักงานเขาคือเป็นครอบครัวเรา เขาช่วยเรา เราไม่มีเขาเราก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีเราเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันไปด้วยกัน” บทสัมภาษณ์จาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ เพราะสาเหตุนี้เค้าจึงไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งลูกน้องยอมลำบากมาด้วยกันและลูกน้องก็รักเค้าไม่ทอดทิ้งเค้าช่วยเค้าต่อสู้เพื่อให้ได้กลับมายืนใหม่อีกครั้ง ด้วยชีวิตของนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้กัดฟันสู้กับชีวิตถึง 15 ปี จนทำให้ตนเองกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งในฐานะประธานบริษัท ทีจีไอเอฟ จำกัด และล่าสุด เตรียมจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตการต่อสู้ของคนไม่ยอมแพ้ก็ว่าได้ แม้จะไม่กลับไปใหญ่เหมือนเดิม
ทุกสิ่งที่เค้าต้องฝ่าฟันมาน่าจะเป็นบทเรียนให้แก่คนล้มเหลว หรือคนสิ้นหวัง ให้มีกำลังในการต่อสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหานานาประการ อีกหนึ่งนักธุรกิจที่ล้มจนทำให้บาดเจ็บแบบสาหัสแต่ก็ไม่ยอมให้บาดแผลเหล่านั้นมาทำให้ชีวิตของตนเองสั่นคอนสู้ทนเดินหน้าลุยต่อไปแบบคนไม่ยอมแพ้พยายามที่จะก้าวเข้าไปยืนยังจุดเดิมให้ได้และคงไม่มีวันที่จะล่วงลงมาอีกเพราะประสบการณ์ที่อัดแน่นในชีวิตของเค้าจะเป็นตำราที่ให้เค้าเอาไว้ศึกษาหาหนทางแก้ไขทุกอย่างล่วงหน้าไม่รอให้ปัญหามาจ่ออยู่ตรงหน้าและเพิ่งเริ่มแก้ไขเหมือนครั้งที่ผ่านมา สำหรับท่านที่กำลังอยู่ระหว่างทางอย่าเพิ่งถอดใจก้าวข้ามความเหนื่อยล้าและความกลัวมาให้ได้