ปัจจุบันคนเรามีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น นโยบายเอื้ออำนวยความสะดวกในการสร้างหนี้สินก็เพิ่มมากขึ้น การสร้างหนี้สินก็ง่ายดาย ไม่ว่าจะกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อธุรกิจต่างๆ นับกันไม่หวาดไม่ไหว มีบางอารมณ์บางครั้งคราวที่เผลอตัวเผลอใจไปกับกิเลสที่เย้ายวนโดยลืมดูภาวะการเงินของตัวเอง วันนี้เลยต้องมานั่งกุมขมับว่า จะทำอย่างไรดี รายได้ที่มีไม่พอใช้เสียแล้ว?
ใครๆ ก็พลาดได้ จริงไหม?
คุณเสียใจ และรู้สึกท้อ แต่รู้หรือไม่ว่าคนที่เคยพลาดมาก่อนคุณ หรือพลาดหนักกว่าคุณแล้วกลับมายืนหยัดยิ้มสู้ได้ก็มีมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว หากคุณแก้ปัญหาด้วยการวางแผนทางการเงินแล้ว แต่ไม่เป็นทางออกที่ดีเนื่องจากในบัญชีรายรับรายจ่ายมันเดือนชนเดือนซะเหลือเกิน หรือติดลบด้วยซ้ำ แถมค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างเป็นค่าใช้จ่ายตายตัวไม่สามารถตัดออกได้ อย่างค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันเดินทางไปทำงาน ฯลฯ ในเมื่อใช้วิธีตัดรายจ่ายไม่ได้ วิธีเดียวที่คุณจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ก็เหลือแค่ การสร้างรายได้เพิ่ม
คุณจะสร้างรายได้เพิ่มได้อย่างไร?
การสร้างรายได้เพิ่มนอกเวลางานมีมากมาย เพียงแต่บางคนอาจจะยังไม่รู้ หรือหาช่องทางไม่เป็น บทความนี้จะชี้แนะแนวทางในการหางานที่เหมาะกับความสามารถของตัวเอง และเวลาที่มีจำกัด รวมถึงให้ครอบคลุมจำนวนเงินที่คุณต้องการในแต่ละเดือนด้วย โดยอาศัยขั้นตอนดังนี้
คุณต้องการเงินเพิ่มเท่าไหร่ในแต่ละเดือน?
เมื่อวางแผนทางการเงินแล้ว ต่อให้คุณพบว่ามันเดือนชนเดือนพอดี คุณก็ต้องการเงินเพิ่มอยู่ดีเพื่อเป็นเงินเก็บในกรณีฉุกเฉินและในวัยเกษียณอายุ คุณอาจต้องการเงินเพิ่มเดือนละ 5,000-10,000 บาท หรืออาจน้อยหรือมากกว่านั้น ซึ่งส่งผลต่อจำนวนภาระงานที่คุณต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วย
– คุณมีความสามารถอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นภาษา การทำขนม งามช่าง หรือความรู้ด้านอื่นใดก็ตามเท่าที่คุณมี เอามันมาแจกแจงเป็นข้อๆ จากนั้นก็หาอาชีพเสริมที่รองรับความรู้ในด้านนั้นๆหรือหากคุณไม่มีความสามารถโดดเด่นใดๆเลย คุณอาจจะศึกษาหาช่องทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขายของในตลาด การรับจ้างทั่วไป ฯลฯ
– เมื่อได้อาชีพเสริมแล้วก็เพียงแต่ลงมือทำ และพยายามทุกทางให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าหาลูกค้า การประชาสัมพันธ์ การโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ฯลฯ
มายกตัวอย่างง่ายๆกัน
คุณคือพนักงานขายสินค้า เงินเดือน 18,000 บาท มีรายจ่ายผ่อนรถ เดือนละ 6,000 บาท ผ่อนบ้าน 5,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ 1,000 บาท ค่าน้ำมัน 1,000 บาท ค่าผ่อนบัตรเครดิต 2,000 บาท มีเหลือ 3,000 บาทสำหรับค่าอาหารและการกินอยู่อื่นๆ ซึ่งแค่นี้ก็การเงินกระเบียดกระเสียดพออยู่แล้ว
คุณทำงานแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นตามเวลาราชการทั่วไป มีเวลาแค่ตอนเย็นถึงตอนกลางคืน คุณต้องการใช้จ่ายได้อย่างอิสระกว่านี้ ตั้งเป้าไว้ที่เดือนละ 7,000 บาท นั่นคือต้องหาเพิ่มอีก 4,000 บาท และต้องการมีเงินเก็บสักเดือนละ 3,000 รวมแล้วคุณต้องหารายได้เสริมจนกว่าหนี้สินจะหมดคือเดือนละ 7,000 บาทหรือวันละ 233 บาท
เอาล่ะ จากนั้นคุณก็พบว่าคุณมีความสามารถในการขาย คุณรู้จักวิธีการตลาด คุณสำรวจตลาดมาแล้วว่าการขายน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม และมีรายได้ดีพอสมควรทีเดียว ตอนเย็นมีคนมาเดินดูของที่ตลาดนัดมากมาย และในจุดที่คุณจะขายยังไม่มีเจ้าใดมาเปิดใกล้ๆ คุณก็เพียงติดต่อเจ้าหน้าที่เทศบาล หรือเจ้าของตลาด เพื่อทำการเช่าที่ขายของได้เลย ใช้เวลาศึกษาสูตรสักเล็กน้อย ซึ่งมีในหนังสือตามแผงหนังสือทั่วไปหรือในอินเตอร์เน็ต แล้วลงทุนทางการเงินสักเล็กน้อย ทุ่มกำลังสุดความสามารถทางการขาย ความรู้ทางการตลาดทั้งหมดที่คุณมีในการขายให้ได้ตามเป้าวันละ 233 บาท มากกว่านั้นคือกำไร!
อีกหนึ่งตัวอย่าง หากคุณไม่มีความสามารถพิเศษทางการขาย แต่คุณมีความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างแน่น หรือแม้แต่รายวิชาอื่นๆ ในเวลาเย็นเป็นเวลายอดนิยมที่ผู้ว่าจ้างการสอนพิเศษหรือติวภาษาจะให้ทำการสอน ในเว็บไซต์มีการประกาศหาครูสอนพิเศษอย่างต่อเนื่อง โดยให้อัตราค่าจ้างที่ชั่วโมงละ 200-500 บาท โดยทำการสอนประมาณวันละ 1 ชั่วโมง ทุกเย็น ซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนของนักเรียนพอดี ซึ่งนอกจากการหาผู้ว่าจ้างทางอินเตอร์เน็ตแล้ว การติดประกาศรับสอนตามโรงเรียนต่างๆ หรือประชาสัมพันธ์ปากต่อปากจากเพื่อนๆ คนรอบข้าง ไปสู่ผู้คนในชุมชน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดีไม่แพ้กัน สร้างความน่าเชื่อถือ โดยมีหลักฐานทางการศึกษาหรือประกาศเกียรติคุณต่างๆมาแสดง ให้ผู้ปกครองและนักเรียนไว้ใจในความสามารถ หรือจัดโปรโมชั่นทดลองเรียนฟรีก่อน 1 ชั่วโมงก็ได้
หลักการง่ายๆคือ สำรวจว่าคุณทำอะไรได้ และหาช่องทางทำเงินจากสิ่งนั้น ปัจจุบันในอินเตอร์เน็ตมีการชี้นำแทบจะทุกอย่างทุกอาชีพ เพียงมุ่งมั่น ตั้งใจ และเข้าหางาน ไม่ว่างานจะอยู่ที่ไหนตามล่ามัน และทำทุกวิถีทางที่จะส่งเสริมให้อาชีพของคุณมีรายได้ โดยเฉพาะการทำการตลาด
สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคืออาศัยความอดทน มุมานะบากบั่น ไม่ย่อท้อ เพราะเมื่อถึงเวลาที่คุณปลดภาระหนี้สินบางส่วนออกไปแล้วบ้าง รายได้ของคุณจะเพิ่มขึ้น และคุณจะเหนื่อยน้อยลง ในขณะที่มีเงินเก็บเพียงพอจะเอาไปลงทุนทำอย่างอื่นเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินต่อไปในอนาคตได้