หลายคนคงจะได้ยินคำว่าอสังหาริมทรัพย์บ่อยๆแต่ก็ยังเข้าใจเกี่ยวกับคำนี้ผิดๆอยู่ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ก็คือสิ่งถูกสร้างอย่าง บ้าน คอนโด อพาร์ทเม้นท์ หอพัก เป็นต้น ที่จริงแล้วทั้งหมดที่ว่ามานั้นต่างก็เป็นอสังหาริมทรัพย์ด้วยกันทั้งสิ้น
แต่อย่าลืมว่าที่ดินนั้นก็ถูกจัดให้เป็นทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน เราไปดูความหมายที่แท้จริงกันเลยดีกว่า
อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่เป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ติดกับที่ดินต่างๆจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยังหมายรวมถึงกรรมสิทธิ์ในการครอบครองทีดิน สิทธิในการอยู่อาศัย สิทธิเหนือผืนดินหรือสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินผืนนั้นด้วย โดย
- ที่ดิน อาจจะประกอบไปด้วย ไร่นา,ภูเขา,พื้นที่ว่างเปล่า,สวนผลไม้,ทะเลสาบ,ทะเล,ชายฝั่ง,ห้วย,หนอง,คลอง,บึง,แม่น้ำ เป็นต้น
- สิ่งปลูกสร้างที่ติดอยู่กับที่ดิน ทั้งที่เป็นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ,ก้อนหิน ฯ หรือที่มนุษย์นั้นได้สร้างขึ้น เช่น อาคาร,หอประชุม,บ้าน,โรงแรม,ร้านอาหาร,คอนโด,หอพัก ฯลฯ เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว การที่เราจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นหมายความว่า เราจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่ดิน และข้อกฎหมายต่างๆเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย เพราะถ้าหากทำการซื้อขายกันก็ต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้ออย่างถูกต้องตามข้อกฎหมายนั่นเองครับ แล้วจะเลือกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าล่ะ?
ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและดีที่สุดคือผลตอบแทนที่ได้มาซึ่งกำไรมากกว่า 50 % ขึ้นไป ยกตัวอย่างในสมัยก่อนครับ ตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา ในตอนนั้นที่ดินยังมีราคาไม่แพง ซื้อขายกันในราคาไร่ละไม่กี่ร้อยบาท แล้วดูในปัจจุบันนี้สิ ที่ดินแพงขึ้นไปกี่เท่าตัวแล้วจากราคาหลักร้อยเป็นหลักแสนหลักล้านหรือหลายๆสิบล้าน ยิ่งถ้าอยู่ในทำเลดีอย่าง พื้นที่ติดถนนใหญ่ อยู่ใจกลางเมือง ใกล้แหล่งเศรษฐกิจ ก็จะมีราคาที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงแต่ก็เป็นความเสี่ยงที่มีความสนใจอยู่ไม่น้อย ถ้าหากรู้จักลงทุนให้เป็น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มี 2 รูปแบบ นั่นก็คือ
1. การซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองแล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างให้เช่า
อย่างเช่น การทำธุรกิจคอนโด อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่า หรือหอพัก เป็นต้น การลงทุนแบบนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ประจำ ทำงานราชการหรือผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุ สามารถมีเวลาเข้ามาดูแลบ้างและสามารถใช้เวลาส่วนตัวอื่นๆบ้าง โดยการลงทุนอาจจะใช้เงินออมที่มีสำรองอยู่ไปซื้อที่ดินใกล้ๆสถานที่มีผู้คนจำนวนมากอย่างโรงเรียน หรือใกล้กับมหาวิทยาลัย แล้วสร้างหอพักปล่อยให้เช่า ลูกค้าก็จะเป็นนักเรียน นักศึกษาหรือวัยทำงานก็ตามแต่เราจะเปิดให้เช่า
แต่การทำธุรกิจแบบนี้อาจจะมีความเสี่ยงอยู่สักหน่อยในเรื่องของการที่จะต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงต่างๆหากเกิดการชำรุดทรุดโทรม หรือการเก็บค่าเช่าอาจเก็บไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่อยถ้าไม่มีระบบบริหารจัดการที่ดี เพราะลูกค้าบางคนอาจจ่ายเงินไม่ตรงเวลา หรือห้องเช่าที่อยู่ห่างไกลผู้คนอาจจะไม่ค่อยมีคนใช้บริการเช่า เป็นต้น
2. การซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้เพื่อเก็งกำไร
การทำธุรกิจในลักษณะนี้อาจจะดีกว่าแบบแรกตรงที่ เราไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนของการซ่อมบำรุงต่างๆ แต่การซื้อเพื่อเก็งกำไรนั้น จะต้องรู้จักระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะเราตั้งใจแล้วว่าถ้าได้มาก็จะประกาศขายต่อ เป็นเพียงการถือครองในระยะสั้นเพื่อทำกำไรเท่านั้น เราก็ต้องคิดถึงความเสี่ยงที่ว่า หากซื้อมาแล้วจะขายได้หรือไม่?
เพราะฉะนั้นแล้วการอ่านเกมส์หรือการมองตลาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าจะลงทุนเก็งกำไรก็ต้องมั่นใจด้วยว่าจะขายได้ในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา
ปัจจัยในการพิจารณาหลักๆเลยก็คือ เรื่องทำเลที่ตั้ง อสังหาริมทรัพย์ที่มีทำเลที่ใกล้กับแหล่งเศรษฐกิจหรือศูนย์การค้า ย่านชุมชน ต่างๆจะซื้อขายง่าย และมีโอกาสที่ราคาจะสูงขึ้น ผู้ลงทุนจำเป็นต้องสำรวจคู่แข่งด้วยว่า เขามีกลยุทธ์อะไร
ดังนั้น เงินที่จะนำมาลงทุนในส่วนนี้ควรเป็นเงินที่คิดว่าถ้าจ่ายแล้วไม่ส่งผลกระทบหรือเดือดร้อนกับรายจ่ายหรือเงินเก็บในส่วนอื่นๆ เพราะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ นั้นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก และต้องรอโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมในการทำกำไร