มนุษย์เงินเดือนหรือคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นความใฝ่ฝันคือ การมีบ้าน การมีรถ แต่เมื่อเราดูราคาบ้านในสมัยนี้แล้วนั้นช่างเป็นสิ่งที่ห่างไกลตัวเองเสียเหลือเกิน คือ เงินเดือน 15,000-20,000 บาท แต่บ้านในสมัยนี้นั้นราคาต่ำ ๆ แล้วก็เริ่มต้นที่หลักล้าน เมื่อมองไปอีกหน่อยอาจจะเปลี่ยนจากบ้านมาเป็นคอนโด เพื่อว่าอาจจะได้ราคาที่ถูกกว่า แต่ที่ไหนได้คอนโดนั้นราคาก็ไม่ได้ต่างกับบ้านเท่าไรเลย แถมมาพร้อมกับค่าส่วนกลางที่เราจะต้องจ่ายในแต่ละปีอีกช่างโหดร้ายเสียจริง ๆ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะเรานั้นมีเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยคุณในเรื่องนี้ว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
การ วางแผนซื้อบ้าน หรือคอนโดนั้น นอกจากทำเลแล้ว เราต้องมีการเตรียมการ 2 อย่างด้วยกัน คือ การเตรียมตัวก่อนการขอสินเชื่อ และการเตรียมตัวผ่อนว่าจะทำอย่างไรให้ผ่อนง่าย ๆ สบายกระเป๋า ซึ่งจะมีวิธีการคิดง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
การเตรียมตัวก่อนการซื้อบ้าน เตรียมตัวเตรียมใจกันก่อนที่เราจะขอสินเชื่อ ซึ่งจะมีวิธีการดังต่อไปนี้
- การรักษาเครดิต คือก่อนที่เราจะทำการขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการซื้อบ้านนั้น ทางธนาคารจะทำการตรวจสอบประวัติทางการเงินของเราว่า การเงินที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เช่น มีหนี้บัตรเครดิตหรือเปล่า มีหนี้เครดิตบูโรไหม ดังนั้นเพื่อการสร้างเครดิตที่ดีไม่ควรที่จะก่อหนี้อะไรให้กับตัวเอง
- เตรียม Statement ในข้อนี้สำหรับคนที่ทำงานประจำอาจจะเตรียมได้ง่าย ด้วยการนำสลิปเงินเดือนไปโชว์ บวกกับเอกสาร 50ทวิ เพื่อยืนยันรายได้ของเราว่ามีเท่าไรในแต่ละเดือน แต่สำหรับผู้ที่มีอาชีพอิสระ ค้าขาย หรือฟรีแลนซ์ต่าง ๆ คุณอาจจะใช้เอกสารจำพวก บัญชีเงินฝากที่มียอดเงินเข้ามาเป็นประจำ พวกเช็คต่าง ๆ เพื่อเอาไปแสดงให้เขารู้ว่า รายได้ของเรานั้นสามารถที่จะชำระหนี้เหล่านี้ได้แน่นอน
- การเตรียมเงินให้เพียงพอ แน่นอนแล้วว่าการที่คุณจะซื้อบ้านนั้น คุณกำลังจะมีภาระเพิ่มขึ้น ดังนั้นการจัดสรรเงินออมให้พียงพอนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี โดยการที่เราควรจะจัดสรรเงินออมโดยคิดจากค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน ว่าแต่ละเดือนนั้นเรามีค่าใช้จ่ายกี่บาท และให้เรานั้นสำรองไว้อย่างน้อย ๆ 6 เดือน เพราะเมื่อเริ่มผ่อนบ้าน ภาระเราก็จะเพิ่มขึ้นมาทันที ในช่วงแรก ๆ นั้นอาจจะต้องปรับตัวบริหารเงินกันใหม่ ดังนั้นเผื่อขาดเหลืออะไร เราสามารถที่จะเอาเงินสำรอง 6 เดือนนั้นมาใช้ได้
และนี่ก็เป็นการเตรียมการในขั้นตอนแรกก่อนที่เราจะมีบ้าน เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นหลักที่สำคัญที่ต้องเตรียมการก่อน หากเรื่องเหล่านี้พร้อมทุกอย่างก็จะดี
การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านและการผ่อนส่ง อย่างสบายกระเป๋า มีหลักการดังนี้
- เงินดาวน์บ้าน เป็นหลักการง่าย ๆ ก่อนที่เราจะซื้อบ้านคือ เราต้องมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10 % ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคาหลังละ 2.5ล้านบาท เงินดาวน์บ้านของเรานั้นก็ควรที่จะมี 250,000 บาทเป็นอย่างต่ำ เพื่อเป็นหลักประกันว่าอย่างน้อยเราดาวน์ไปแล้วขนาดนี้ ในการผ่อนก็อาจจะไม่ต้องหนัก แต่ถ้าหากใครมีเงินดาวน์ที่มากกว่านี้ ก็สามารถทำได้ ยิ่งเงินดาวน์มากเท่าไร ดอกเบี้ยในการผ่อนบ้านนั้นก็จะลดลงด้วย
- ยอดการผ่อนชำระต่อเดือน ในการผ่อนชำระค่าบ้านนั้น ผู้ซื้อจะต้องคำนวณแล้วว่าตัวเองจะสามารถผ่อนได้ โดยที่ค่าผ่อนบ้านนั้นจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 40% ของเงินเดือน เพราะหากว่าน้อยกว่านั้น อาจจะทำให้ดอกเบี้ยนั้นเพิ่มขึ้นได้ และระยะเวลาในการผ่อนก็จะมากขึ้น ส่วนในการกู้นั้นหากกู้คนเดียวไม่ได้ เราสามารถที่จะมีผู้ที่จะกู้ร่วมกับเราได้โดยการให้ญาติพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกันหรือสามีภรรยา ก็สามารถที่จะมาช่วยกันได้อีกแรง
- ระยะเวลาในการผ่อน อันนี้ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเราซื้อบ้านระยะเวลาสูงสุดก็จะอยู่ที่ 30 ปี เมื่อรวมกับระยะเวลาของผู้กู้แล้วจะไม่เกิน 60-65 ปี ถ้าระยะเวลาสั้น ในแต่ละเดือนนั้นค่าผ่อนก็อาจจะมีมูลค่ามาก แต่ถ้าระยะเวลาที่ยาว ก็ถ้ารู้สึกไม่ไหว ก็ให้เลือกสูง ๆ เอาไว้ก่อน แต่ถ้าผ่อนต่อเดือนได้สูง อัตราดอกเบี้ยก็จะค่อย ๆ ลดลง และภาระค่าผ่อนก็จะหมดเร็วยิ่งขึ้น
- รูปแบบอัตราดอกเบี้ย ในการซื้อบ้านนั้นรูปแบบดอกเบี้ยจะมีด้วยกัน 2 แบบคือ รูปแบบลอยตัว และรูปแบบคงที่ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น โดยปกติการขอกูบ้านในราคา 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 6.7% หรือประมาณ 7,200 บาท ต่อเดือน ซึ่งมีระยะเวลาในการผ่อนชำระอยู่ที่ 30 ปี นั่นเอง แต่หากเราสามารถที่จะปิดได้เร็วก็จะยิ่งดี
ทั้งหมดคือ การวางแผนก่อนการตัดสินใจซื้อบ้าน สิ่งที่สำคัญที่สุดในการซื้อบ้านนั้นอยู่ที่เงินดาวน์ เมื่อคุณมีเงินดาวน์ที่พร้อม รับรองว่าการซื้อบ้านของคุณนั้นก็จะง่ายและเร็วขึ้น ยิ่งเงินดาวน์เยอะ อัตราค่าผ่อนในแต่ละเดือนก็จะลดลงด้วย และที่สำคัญ เมื่อเราซื้อบ้านแล้วนั้นเรายังมีเรื่องของปัจจัยภาษีอีก ดังนั้นต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจ ซึ่งผู้ที่ซื้อบ้านสามารถนำดอกเบี้ยจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ถือเป็นการประหยัดภาษีในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง