ทุกท่านคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี สำหรับบัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อที่ทางธนาคารพาณิชย์หรือผู้ทำธุรกิจบัตรเครดิตออกให้เราได้ใช้จ่ายกันอย่างสะดวกสบายแทนการพกเงินสด โดยจะมีวงเงินที่บริษัทที่อนุมัติบัตรให้กำหนดไว้ว่าเราจะสามารถใช้ได้เท่าไหร่ในแต่ละเดือนและจะหักออกด้วยค่าสินค้าและการบริการต่างๆที่เราชำระผ่านบัตรเครดิต รวมไปถึงค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และหนี้สินคงค้างที่ยังไม่ได้ชำระ บัตรที่เรารู้จักกันจะได้แก่ บัตรวีซ่า (Visa Card) บัตรมาสเตอร์ (Master Card) อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) และไดเนอร์สคลับ (Diners Club)
เป็นเรื่องปกติที่เมื่อมีความสะดวกสบายแล้วคนเราก็ต้องมีการใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้ตัวว่าเผลอรูดบัตรจนเกือบเต็มวงเงินแล้วรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ใบแจ้งหนี้ค่าบัตรเครดิตมาถึงมือ
ก่อให้เกิดโรคฮิตที่คนใช้บัตรเครดิตต้องมีนั่นก็คือเครียดเรื่องหนี้ แต่อย่าได้วิตกกังวลไปเพราะปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแค่เราต้องรู้ว่าจะจัดการปลดหนี้อย่างไรให้หนี้ไม่บานกว่าเดิม วันนี้จึงนำวิธีการเล็กน้อยๆมาฝากเพื่อเป็นแนวทางปลดหนี้ให้กับทุกท่านค่ะ
เพิ่มรายได้ ลดการใช้จ่ายลง
เพราะรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องหารายได้ให้มากขึ้นเพื่อหาเก็บไว้ใช้เองและหามาปลดหนี้ ลำพังเงินเดือนที่ได้รับก็คงไม่พอใช้จ่าย ดังนั้นเราต้องหารายได้เพิ่มจากการทำงานประจำ อาจจะเป็นการทำงานพิเศษ ขายของออนไลน์หรือรับเป็นฟรีแลนซ์ที่มีอิสระในการทำงานสูง เลือกงานที่ไม่กระทบกับงานหลักของตัวเองจะดีที่สุดค่ะ สิ่งสำคัญคืออย่าลืมว่าต้องใช้จ่ายประหยัด การท่องเที่ยว ทานข้าวนอกบ้านหรือการช้อปปิ้งนั้นให้ลดหรืองดไปก่อน ถ้าทำได้จะช่วยประหยัดได้เยอะเลยที่เดียว ใครที่มีเวลาว่างจากการทำงานประจำ อาจจะแค่วันละ 2-3 ชั่วโมง ก็ลองเอาเวลานั้นไปใช้ให้เกิดเงินทองขึ้นมาดีกว่าปล่อยให้สูญเปล่านะคะ
ไม่กู้นอกระบบมาจ่ายหนี้
ถ้าใครกำลังคิดจะกู้ขอบอกว่าตัดออกจากตัวเลือกด่วนๆเลยคะ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่เป็นการเพิ่มปัญหาและเพิ่มภาระให้ตัวเอง เพราะการกู้นอกระบบนั้นทั้งผิดกฎหมายและดอกเบี้ยสูงมาก(อาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิต) ดังนั้นถ้าไปกู้นอกระบบมาโปะหนี้บัตรเครดิต จะหมายถึงคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงกว่าเดิมและยังเป็นหนี้ไม่รู้จบอยู่นั่นเอง ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้ก็ตั้งใจทำงานและประหยัดไปก่อน ถ้าหากไม่ทันจริงๆค่อยไปขอผ่อนผันการชำระกับทางธนาคารจะดีกว่านะคะ แต่ทางที่ดีควรดูความสามารถในการจ่ายเงินของตัวเองตั้งแต่เริ่มว่ามีความสามารถในการจ่ายเงินมากแค่ไหน หากไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งสมัครใช้บัตรเครดิตเลยดีกว่า เพราะจะสร้างปัญหาเมื่อถึงกำหนดชำระเงินคืนให้กับคุณได้นั่นเอง
ติดต่อกับเจ้าหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ
การติดต่อกับเจ้าหน้าที่จะทำให้เรารู้สึกว่ามีผู้ช่วยให้คำปรึกษาและคุณจะไม่โดดเดี่ยวกับหนี้ก้อนโตเพียงลำพัง อย่างน้อยคุณอาจจะขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอผ่อนผันการชำระหนี้ หรืออาจจะร่วมกันหาทางออกว่าคุณสะดวกชำระหนี้ในวงเงินแค่ไหน จะดีกว่ามานั่งกลุ้มใจคนเดียว หาเงินไม่ทันแล้วปล่อยให้ค้างชำระแล้วเจ้าหน้าที่ติดต่อไม่ได้ แบบนี้เสี่ยงโดน Black list และเสียเครดิตของเราเองด้วยค่ะ ดังนั้นหากคุณหาเงินไม่ทันหรือไม่สามารถชำระเงินคืนได้ทันเวลา ก็ควรโทรไปปรึกษาเจ้าหน้าที่หรือติดต่อขอผ่อนผันเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อจนทำให้ทางสถาบันการเงินเอาชื่อของคุณไปติดแบล็กลิสได้นั่นเอง
แปลงทรัพย์สินให้เป็นเงิน
ในบางครั้งที่คิดว่าคงหาไม่ทันแล้วแน่ๆ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือลองมองไปรอบๆตัวว่ามีสิ่งไหนที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงินได้บ้าง อาจจะเป็นรถยนต์ที่ผ่อนหมดแล้ว นำไปเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร โดยอัตราการขอสินเชื่อประเภทนี้จะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยวงเงินบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิต เมื่อการเงินมั่นคงแล้วค่อยรีไฟแนนซ์ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรค่ะ แถมวิธีนี้ยังดีกว่าการไปกู้ยืมเงินมาอีกด้วยนะ ใครที่คิดจะกู้เงินเพื่อมาปิดหนี้บัตรเครดิต ลองเลือกตัวเลือกนี้ดูก่อนนะคะ
เพียงแค่นี้เราก็ปลด หนี้บัตรเครดิต ได้อย่างสบายใจแล้วล่ะค่ะ แต่ต้องระมัดระวังอย่าเผลอช้อปปิ้งเพลินจนวงเงินเต็มแบบนี้บ่อยๆก็พอ หลักการง่ายๆคือเราต้องมีวิธีการจัดการค่าใช้จ่ายและต้องมีวินัยในการชำระหนี้ให้ตรงต่อเวลาอยู่เสมอ
เพียงเท่านี้ หนี้บัตรเครดิต ก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว หรือถ้าอยากให้ควบคุมการใช้จ่ายบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น ก็ทำบัญชีรายจ่ายบัตรเครดิตซะเลย และหัดคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตด้วยตัวเอง เพื่อจะได้คำนวณได้ว่าเดือนนี้คุณจะต้องจ่ายค่าบัตรเครดิตเท่าไหร่ แถมยังควบคุมการใช้เงินไม่ให้เกินกำหนดได้อีกด้วย ทีนี้ไม่ว่าคุณจะจ่ายค่าอะไรด้วยบัตรเครดิตก็บันทึกลงไปในบัญชีรายจ่ายของคุณเลย แค่นี้ก้ควบคุมหนี้บัตรเครดิตได้แล้วล่ะ สาวกบัตรเครดิตทั้งหลายลองนำไปทำกันดูนะคะ ถ้าไม่อยากให้หนี้บัตรเครดิตพอกพูนจนเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไขได้