ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า บทความนี้ ไม่ได้สอนให้หนีหนี้ แต่จะแนะนำว่า หากคุณมีภาระหนี้จนจ่ายไม่ไหว และ ยอมที่จะกลายเป็นบุคคลที่ติดแบล๊คลิสต์ โดยการยุติการชำระหนี้จะต้องทำอย่างไรหาก โดนทวงหนี้ แต่เป็นหนี้ในระบบนะ นอกระบบคงหาวิธีแก้ไขได้ยาก
ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจว่า หากคุณเป็นหนี้ของสถาบันการเงินต่างๆนั้น หากคุณผ่อนชำระล่าช้า หรือ ขาดการจ่ายชำระ ทางสถาบันการเงินเหล่านี้ จะมีหน่วยงานติดตามหนี้สินมาทำหน้าที่แทน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พ้นสำนักงานกฎหมายและบริษัทรับทวงหนี้ ซึ่งเขาจะมีวิธีการต่างๆเพื่อติดตามคุณมาชำระหนี้ให้ได้ เริ่มจาก การส่งจดหมายติดตาม การโทรศัพท์ติดตามทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน หรือ ส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
คุณต้องจำไว้เลยว่า เขาไม่สามารถทำอะไรคุณได้ ทั้งการพูดและการกระทำ เพราะในยุคที่หนี้บัตรเครดิตระบาดนั้นการติดตามทวงหนี้นั้นทำให้หลายๆคนเกิดความอับอายทั้งโทรตามที่ทำงาน ทุกวัน แถมวันละหลายๆรอบ ส่งแฟ๊กซ์ทวงหนี้ ส่งเมลล์ทวงหนี้ถึงหัวหน้างาน ส่งจดหมายตามถึงครอบครัวที่ต่างจังหวัด โทรหาบุคคลอ้างอิงต่างๆ ซึ่งทำให้ในยุคนั้นหลายๆคนกลัวการทวงหนี้ ถึงขั้นย้ายที่ทำงาน ย้ายที่พักหนีหนี้ก็มีมาแล้ว
แต่ปัจจุบันลูกหนี้มีความรู้เรื่องนี้มากขึ้น ดังนั้นการทวงหนี้แบบนี้จึงใช้ไม่ได้อีก หลายคนที่เพิ่งเคยประสบปัญหานี้ก็ยังกลัวและหาทางออกไม่ได้ หากคุณจ่ายไม่ไหวจริงๆ คุณไม่ต้องกลัวการทวงหนี้ แม้จะมีพนักงานมาเขาก็ทำอะไรคุณไม่ได้ และที่สำคัญต่อให้เจอตัวคุณแล้วก็ตาม คุณต้องไม่เซ็นเอกสารใดๆทั้งสิ้น ปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะขู่ว่าต้องขึ้นศาล ก็ยืดอกรอรับหมายได้เลย เพราะถึงขั้นนั้นแล้ว คุณจะผ่อนชำระได้สบายกว่ายอมประนอมหนี้กับบริษัทรับทวงหนี้ หรือ หากขู่ว่าจะมี การอายัดเงินเดือน นั้น หากไม่มีคำสั่งศาลออกมาก็ไม่สามารถอายัดเงินเดือนได้ และการอายัดเงินเดือนนั้นจะทำได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 % บัญชีเงินฝากสามารถอายัดได้ แต่ทุกอย่างต้องมีคำสั่งศาล และ คำสั่งของกรมบังคับคดี เท่านั้น บริษัทรับทวงหนี้ หรือ สถาบันการเงินทำโดยพละการไม่ได้ และในการอายัด ลูกหนี้มีสิทธิที่จะสามารถต่อรองได้เพราะศาลจะให้โอกาสต่อรองเพื่อที่ลูกหนี้จะมีรายได้เหลือสำหรับการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ตามปรกติด้วย
การถูกทวงหนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และยิ่งเรื่องถึงศาลแล้วลูกหนี้จะได้รับการปกป้องตามกฎหมายและตามสิทธิ ยิ่งหากเป็นหนี้บัตรเครดิต บัตรผ่อนสินค้า ที่มียอดหนี้ไม่เกินถึง 100,000 บาทนั้นยิ่งไม่ต้องกังวลเมื่อต้องไปเจรจาประนอมหนี้ที่ศาล แต่หากเป็นหนี้ที่มียอดเงินสูงกว่านี้ หรือ เป็นหนี้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ นั้นก็ต้องระวังเพราะเจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์ ได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งลูกหนี้ที่มีปัญหาเรื่องผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวสามารถอ่านข้อกฎหมายได้ตามเวปไซค์กฎหมายหรือเวปไซค์ที่ให้ความรู้เรื่องหนี้สินต่างๆ
นอกจากนี้ลูกหนี้มีสิทธิ์ที่จะฟ้องกลับบริษัททวงหนี้ หรือ สถาบันการเงินได้หากคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมในการติดตามทวงหนี้ เช่น ถูกทวงหนี้ในลักษณะประจานให้ได้รับความอับอาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเอกสารไปที่ทำงาน ที่บ้าน หรือ พบเจอตัวและพูดจาดูถูก ส่อเสียด หรือ ประณาม ลูกหนี้มีสิทธิ์ฟ้องกลับได้ตลอดเวลา อีกทั้ง ปัจจุบันบริษัททวงหนี้จะมีการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความลับของลูกค้าเช่น สอบถามที่อยู่จากสำนักทะเบียนราษฏร์ตามสำนักงานเขตต่างๆ หรือ การค้นข้อมูลจากประกันสังคม ลูกหนี้มีสิทธิฟ้องร้องกลับคืนได้ นอกจากนี้ในการตรวจสอบข้อมูลประกันสังคมบริษัททวงหนี้บางรายใช้วิธีเชคสถานที่ทำงานจาการตรวจสอบข้อมูลจากหน้าเวปไซค์ ซึ่งใช้เลขบัตรประชาชนของลูกหนี้กรอกเขาไปเอง ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์เช่นกัน หากลูกหนี้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องร้องเอาความได้
บทความนี้ไม่ได้สอนให้หนีหนี้แต่ให้รู้จักวิธีรับมือการสิ่งที่ตามมาหลังจากหยุดชำระหนี้ ทุกปัญหาเรื่องหนี้มีทางออก เพียงแต่ต้องอาศัยระยะเวลา อาศัยความรู้ความเข้าใจ ศึกษาหาข้อมูลและเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ