หากนึกถึงวันหยุดหลายๆคนก็คงนึกถึง ทะเล น้ำตก หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ แต่วันนี้เราอยากแนะนำให้คุณเที่ยวเมืองกรุงกันสักวัน เอ่ยมาแบบนี้ชาวกรุงเทพ ส่วนใหญ่คงต้องบอกว่า เมืองกรุงมีอะไรให้เที่ยว วันๆเจอแต่รถติด แต่อยากจะบอกว่านี่ล่ะเสน่ห์ของเมืองกรุง ซึ่งทุกคนไม่ปฏิเสธว่าไปไหนรถก็ติด ไปไหนก็น่าเบื่อ
แต่คุณรู้ไหมว่าเมืองกรุงยังมีบางมุมที่คุณน่าจะไปทำความรู้จักและหาเวลาไปเยี่ยมเยียนบ้าง ลองทำตัวเป็นคนไม่มีรถขับสักวัน มันคงน่าสนุกไม่ใช่น้อยและที่สำคัญประหยัดเงินด้วยเพราะ เที่ยวกรุงเทพ ไม่ต้องค้างคืนจริงไหมล่ะ อย่างที่บอกวันนี้จะเดินทางโดยรถสาธารณะเพราะอยากให้คุณลดมลภาวะกับการไม่ขับรถสักหนึ่งวันซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าก็ตามสะดวกจากที่พักของแต่ละคนและอันซีนกรุงเทพที่อยากจะแนะนำ คือ
พิพิธภัณฑ์ Jim Thompson
เชื่อว่าหลายๆคนรู้จักชื่อ Jim Thompson แต่ไม่รู้ว่ามีพิพิธภัณฑ์ ซึ่งที่นี่เป็นบ้านทรงไทย ที่เก่าแก่และยังคงสภาพสวยงามด้วยการดูแลอย่างดีและตอนนี้ขึ้นทะเบียนกับ Unesco แล้วที่นี่มีการจัดแสดงประวัติของ Jim Thompson และอื่นๆที่เกี่ยวกับบ้านและเจ้าของบ้าน ด้วยความงดงามของเรือนไทยสมัยโบราณ ความร่มรื่นของสถานที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะนิยมมาเที่ยวที่นี่มากกว่าคนไทย ซึ่ง พิพิธภัณฑ์ Jim Thompson ตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 2 บนถนนพระราม 1 ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ
- เวลาเปิด: 9.00 – 18.00 น. ทุกวัน กำหนดเวลาของทัวร์ที่มีมัคคุเทศก์นำชม รอบสุดท้ายอยู่ที่เวลา 18.00. ( การเข้าชมต้องมีมัคคุเทศก์นำชมโดยรอบบ้าน)
- ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 150บาท นักเรียน – นักศึกษา (อายุต่ำกว่า 22 ปี) 100 บาท
มีค่าเข้านิดหน่อยแต่คุ้มค่ากับการไปเที่ยวชมมากๆเพราะสถานที่สวยงามจริงๆ ใครยังไม่เคยไปลองหาเวลาแวะไปเที่ยวกันได้ ออกจากพิพิธภัณฑ์ Jim Thompson ก็เดินออกกำลังกายกันสักหน่อยเดินย้อนกลับมาทางสี่แยกปทุมวันจะพบกับ
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
ที่นี่ตามปรกติจะไม่เสียค่าเข้าชม ยกเว้นมีกิจกรรมพิเศษ ซึ่งค่าเข้าแต่ละงานจะไม่เท่ากัน และการแสดงนิทรรศการต่างๆนั้นมักจะตั้งแสดงที่ชั้น 7, 8, 9 แต่ในส่วนของชั้นอื่นๆก็มีความน่าสนใจและมีงานศิลป์แสดงอยู่ตามแต่ละชั้นด้วย ซึ่งสามารถเข้าชมได้เพราะจะมีการหมุนเวียนการจัดนิทรรศการกันตลอดทั้งปี และบางงานเป็นการเข้าชมฟรี นอกจานี้ด้านล่างที่โถงชั้นล่างยังมีร้าน eco shop ของสาวนุ่น ศิรพันธ์ด้วย และยังมีร้านจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับงานศิลป์ด้วย
หากใครไม่เคยเที่ยวชมงานศิลป์ก็ขอแนะนำให้ลองมาเที่ยวที่นี่ คุณจะสัมผัสกับบรรยากาศอีกแบบที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ที่คุณไม่อาจหาได้จากตามห้างสรรพสินค้า เพราะที่นี่ผู้คนไม่วุ่นวาย ค่อนข้างเงียบสงบ ทำให้คุณสามารถสัมผัสถึงความงามของรูปแต่รูปที่นำมาจัดแสดง สัมผัสกับความสงบ เดินมาเหนื่อยๆคุณก็สามารถนั่งพักผ่อนสบายๆ ที่นี่ได้ และไม่ต้องคิดมากว่าจะไม่เข้าถึงศิลปะ เพราะจุดมุ่งหมายที่เราอยากให้ลองไปสัมผัสคือ ที่นี่ถือเป็นอันซีนอีกแห่งของกรุงเทพ เพราะคนกรุงส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมดูงานศิลปะ การมีหอศิลป์ดีๆเข้าชมฟรีจึงเหมือนของแปลกและไม่ค่อยมีคนนิยม แต่หากได้ไปสัมผัสสักครั้งจะรู้เลยว่าที่นี่น่าไปเดินเล่น เดินพักผ่อนสมอง มากกว่าการไปเดินห้างสรรพสินค้าที่วุ่นวาย หลังจากออกจากหอศิลป์แล้วก็ไปหาของอร่อยๆทานกันดีกว่าแต่ต้องเดินทางไปอีกสักนิดนะ ตอนนี้จะพานั่งรถเมล์ไปยังเกาะรัตนโกสินทร์ หรือ เข้าไปทางสนามหลวงนั่นเอง แนะนำนั่งรถเมลล์ชมวิวร้อนๆ หรือจะนั่งรถแอร์ก็ได้ เพราะที่ต่อไปที่จะแนะนำคือ
ถนนตะนาว
จากจุดที่สองที่แนะนำและมาต่อที่นี่ ให้นั่งรถเมล์สาย 15 หรือ 45 ลงสี่แยกคอกวัว แล้วเดินต่อไปอีกนิด หรือจะนั่งรถตุ๊กๆก็ได้ นานๆนั่งสักครั้งได้บรรยากาศสนุกดีเหมือนกัน ที่นี่มีอะไรดีถึงน่าจะมาทำความรู้จัก ที่ถนนตะนาวนั้นถือเป็นถนนอันซีนอีกแห่งที่มีตึกเก่าๆตั้งอยู่มากมาย และถนนเส้นนี้ยังเชื่อมต่อไปยังถนนเส้นอื่นๆ หากจะว่ากันจริงๆจุดเริ่มต้นของการเดินชมถนนเส้นนี้คงต้องเริ่มกันจาก ตั้งแต่ปลายถนนบำรุงเมือง บริเวณสี่กั๊กเสาชิงช้า ตัดยาวผ่านถนนราชดำเนินกลางตรงสี่แยกคอกวัว ไปจนถึงถนนสิบสามห้างตรงบางลำพู ซึ่งในยุคก่อนย่านนี้ถือว่าเฟื่องฟูสุดๆ หากใครจำภาพยนตร์เรื่อง 2489 อันธพาลครองเมืองได้ล่ะก็ ที่นี่ละคือสถานที่ดังของยุคนั้น
จุดเริ่มต้นของการเดินเที่ยวถนนตะนาว แนะนำให้เริ่ม บริเวณสี่กั๊กเสาชิงช้า ก็ถือว่าเป็นย่านเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า “สามแพร่ง” อันประกอบด้วย “แพร่งสรรพศาสตร์” “แพร่งนรา” และ“แพร่งภูธร” ซึ่งชุมชนสามแพร่งนี้ถือเป็นย่านการค้าที่เคยรุ่งเรืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาถึงรัชกาลที่ 6 หลายๆคนที่ได้เดินทางมาเที่ยวที่นี่ มักจะแวะมาสักการะศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อขอพรหากมีโอกาสมาก็ห้ามพลาดเด็ดขาด และจุดที่ห้ามลืมแวะไปชมคือ “ซุ้มประตูวังสรรพสาตร์ศุภกิจ” จะอยู่บริเวณทางเข้าของ แพร่งสรรพศาสตร์ เป็นซุ้มประตูวังเก่าที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อยู่แต่ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก และยังมีวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 คือวัด “วัดมหรรณพารามวรวิหาร”ที่มีองค์หลวงพ่อ “หลวงพ่อพระร่วงทองคำ” ที่สร้างตั้งตามแบบสุโขทัยซึ่งงดงามมาก เชื่อว่าหลายๆคนคงไม่เคยไปแน่นอน และตลอดสองข้างทางจะมีบรรยากาศเก่าๆเหมือนที่เราเห็นกันในภาพยนตร์และเดินเรื่อยจะทะลุไปถึง ถนนข้าวสาร และสองข้างทางของทั้งถนนตะนาว และ ถนนข้าวสารนั้น มีร้านอร่อยๆหลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ค้าขายสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่กันเลย
หากมีเวลาขอแนะนำให้ลองไปเที่ยวทั้ง 3 แห่งดูสักครั้งและแนะนำว่าไม่ควรขับรถยนต์ไปเองเพราะเส้นทางในเมืองนั้นค่อนข้างหาที่จอดรถยากแนะนำให้ไปรถสาธารณะจะดีกว่า หรือ อยากจะแวนซ์มอเตอร์ไซค์เที่ยวชิลด์ๆถ่ายรูปเก๋ๆ ก็ตามสะดวก หรือ ใครอยากจะปั่นจักรยานไปก็เก๋ไม่น้อย แต่สถานที่สุดท้ายอาจจะเดินไกลสักนิดแต่รับรองว่าคุ้มค่ากับการมาทำความรู้จักกับถนนเก่าแก่ของกรุงเทพ หากจัดเวลาดีๆจะสามารถเที่ยวได้ครบทั้ง 3 แห่ง หรือจะเลือกไปครั้งละแห่งก็ได้ไม่ผิดกติกา