ในปี 2556 ทีวีดิจิทัล ได้ถูกแนะนำให้กับประชาชนอย่างเป็นทางการ ก่อนจะเข้ามามีบทบาทในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยในปีที่ 2558 คือ ปีที่ทีวีดิจิทัลเข้ามาดำเนินการเต็มรูปแบบ ไม่ว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะกล่าวอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ทีวีติจิตอลกลายเป็นสนามการแข่งขันที่ดุเดือดและโหดร้ายที่สุดสนามหนึ่งในวงการโทรทัศน์ไทย และเมื่อในขณะนี้มีกระแส Mobile Device เข้ามาทับถมให้การแข่งขันที่โหดร้ายกลายเป็นการขับเคี่ยวที่ยากลำบาก หากต้องการยืนหยัดอยู่ในวงการนี้ต่อไป
ออกจากเส้น Start อย่างเต็มกำลัง
การแข่งขันของทีวีดิจิทัลในช่วงเริ่มแรก การแข่งขันเริ่มดุเดือดตั้งแต่ออกจากจุดเริ่มต้น เพราะผู้ประกอบการทุกคนต่างรู้ตัวดีว่า สนามแข่งขันของทีวีอนาล็อกที่มีผู้แข่งขันเพียง 6 ราย ได้ถูกเพิ่มผู้เล่นเป็นมากกว่า 26 ราย โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือ การแย่งชิงเอาก้อนเม็ดเงินก้อนเดียวกัน จากมูลค่าเงินโฆษณาสื่อทีวี ซึ่งสามารถประมาณการได้ถึง 68,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกจึงกลายเป็นการแข่งขันที่น่าลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่น่ากลัวที่แท้จริงกลับรออยู่ข้างหน้าผู้เข้าแข่งขันทุกราย
(หรืออาจ) เป็นช่วงหืดขึ้นคอของทุกคน
สถานการณ์ของทีวีดิจิทัลขณะนี้อาจถึงขั้นกำลังย่ำแย่ ถึงขนาดที่ว่า มีหลายรายค่อย ๆ ถอดใจยอมแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ เพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่มากมายไม่ไหว ตัวอย่างที่โดดดังที่สุดคงไม่พ้น “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในข่าวดราม่าประจำปีในปีที่ผ่านมา เพราะมีการขาดทุนมากกว่า 320 ล้านบาทและสร้างกระแสในแง่ลบเกี่ยวกับทีวีดิจิทัลออกมามากมาย
ในขณะที่บรรดายักษ์ใหญ่ในวงการสื่อโทรทัศน์ ต่างก็เดิมพันเพื่อลองฮึดสู้ต่อไปอย่างในกรณีของ “Grammy” ก็เลือกขายหุ้นในธุรกิจอีเว้นท์และกล่องทีวีดาวเทียม รวมทั้งธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองทั้งหมดเพื่อระดมทุนมาเป็นค่าเดิมพันในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันทางคู่แข่งคนสำคัญอย่าง “RS” ก็ได้ขายหุ้นร้อยละ 9 ออกไปโดยมีเป้าหมายในการนำเงินมาเป็นทุนหมุนเวียนทางทีวีดิจิทัล อาจยังมีกลุ่มที่สามารถเอาตัวรอดลอยลำได้เรื่อย ๆอย่างช่อง 3 และ 7 ที่มีฐานที่มั่นคงไม่ล้มเอาง่าย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่สั่นสะเทือนเลย
กระแสใหม่ที่มาหายใจรดต้นคอ
ทางเลือกของผู้ชมถูกเพิ่มขึ้นมาจนมากเกินไป ทั้งช่องทีวีอนาล็อก ช่องทีวีดิจิทัลกันเอง และการดูผ่านอุปกรณ์พกพาส่วนตัว หรือ Mobile Device โดยเฉพาะทางเลือกที่เป็น Mobile Device กลายเป็นสิ่งที่มีหลายคนคิดว่า กำลังจะกลายเป็นตัวทำลายตลาดของทีวีดิจิทัลอย่างแน่นอน ตลาดของอุปกรณ์พกพากำลังเติบโตขึ้นทุกขณะ ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของพวกเขาได้ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อทีวีดิจิทัลแล้ว ยังส่งผลต่อวงการทีวีโทรทัศน์ทั้งหมดของประเทศไทย
จากการสำรวจด้านพฤติกรรมการชมรายการโทรทัศน์ ช่วงอายุ 15 – 22 ปี ในกรุงเทพและปริมณฑล ในช่วงสิ้นปี 2558 ของมหาวิทยาลัยหอการค้า พบว่า ณ ขณะนี้ ทีวีดิจิทัลยังคงครองอันดับหนึ่งที่ร้อยละ 59 รองลงมาคือ การชมรายการต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน ร้อยละ 41.8 ตามมาด้วยคอมพิวเตอร์ ร้อยละ 29 และอุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ตอีกร้อยละ 24 อย่างไรก็ตามยังพบว่า ร้อยละ 86 มีพฤติกรรมการรับชมรายการโทรทัศน์ย้อนหลังผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ทำไมอุปกรณ์ประเภทนี้ถึงได้รับความนิยมมากนัก และทำไมถึงสามารถส่งผลถึงตลาดของทีวีดิจิทัลได้ สามารถสรุปออกมาเป็นสองข้อ ๆ ใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
ความสะดวกสบายที่น่าดึงดูดใจ
อุปกรณ์พกพา เป็นสิ่งที่สามารถพกพาไปได้ทุกที่ เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้รู้สึกถึงความสะดวกสบาย เมื่อเราต้องการดู เราก็เพียงหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไม่ว่าที่ไหนเราก็สามารถเสพสื่อที่เราต้องการได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว ยังไม่นับว่า ทุกวันนี้เกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือกันอยู่แล้วไม่ต้องไปเสาะหาอุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม
เมื่อไม่อยากดูหรือเบื่อ ก็หาอย่างอื่นดู
ทีวีดิจิทัลไม่สามารถกดข้ามเนื้อหาข้อมูลได้ ต้องดูตามตารางออกอากาศที่มีอยู่ ในขณะที่ Mobile Device ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกดูเนื้อหาที่ต้องการได้เลยผ่านแอพลิเคชั่นต่าง ๆ หากพลาดรายการถ่ายทอดสดก็สามารถกลับมาดูรายการย้อนหลังได้ เพียงแค่พิมพ์ค้นหาสิ่งที่เราต้องการดูเพียงเท่านั้น
หนทางรอดยังมีอยู่
แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” การแข่งขันของทีวีดิจิทัลยังไม่จบ การเดิมพันที่เสี่ยงของค่ายยักษ์ใหญ่อาจได้ผลหรือไม่ได้ผลเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด หากจะมองช่องทางที่เป็นไปได้ มันก็สามารถเป็นไปได้ เพราะความเป็นไปได้ในการดึงคนดูและเรียกเรตติ้งยังมีอยู่มากมาย เหมือนตัวอย่างบางช่องที่สามารถสร้างพื้นที่ให้กับตัวเองในทีวีดิจิทัลได้อย่างสวยงาม โดยทางรอดที่สำคัญคือ ความแตกต่าง
การสร้างเนื้อหาที่มีความแตกต่างและโดดเด่นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเราต้องการเสพสิ่งที่สดใหม่หรือตรงกับความต้องการ การผลิตสื่อที่หาได้ง่ายตามท้องตลาดไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้อีกต่อไป แต่เมื่อรายการมีความสดใหม่ แปลกและน่าติดตาม มันจะไม่ใช่เรื่องยากเลยทำให้พวกเขาเปิดเข้ามาดูทีวีดิจิทัล การสร้างรายข่าวที่ดี ต้องไม่ใช่การออกมานั่งอ่านข่าวเพียงอย่างเดียว ละครก็ไม่ควรนำเรื่องราวเก่า ๆ มาเล่าใหม่ แม้แต่เกมโชว์ก็ควรมีการนำเสนอที่น่าสนใจ