หากจะกล่าวถึง การขาย หลายคนก็คงนึกถึงการขายในรูปแบบต่างๆ เช่น การขายแบบมีหน้าร้าน,การขายของออนไลน์,ธุรกิจขายตรงหรือแฟรนไซน์ ต่างๆ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการขายที่มีลักษณะของการนำสร้างผลิตภัณฑ์ เน้นที่ตัวสินค้า แต่มีรูปแบบการขายอีกแบบหนึ่งค่ะ ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ การขายที่เน้นสร้างไอเดีย หรือภาษาบ้านๆ เข้าใจง่ายๆ คือ การขายแนวคิด,ความคิดของเรานั่นเอง เป็นอย่างไร เรามารู้จักรูปแบบ ธุรกิจขายไอเดีย นี้กันก่อนดีกว่าค่ะ
แนวคิดและความคิดต่างๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างธุรกิจในอนาคตนั้น ต้องเน้นทำในเชิงสร้างสรรค์และแปลกใหม่ สังเกตว่า ตั้งแต่วิทยาการเทคโนโลยีต่างๆได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาจนก้าวหน้าสามารถเปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ ย่อส่วนให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นนั้น ทำให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งที่เป็นความรู้และไม่เป็นความรู้ แพร่กระจายไปมาหาสู่กันอย่างรวดเร็ว ความคิดร้อยแปดพันอย่างของคนทั่วโลกไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งสำคัญคือการคิดค้นและสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ยิ่งถ้าเป็นในแง่ของการทำธุรกิจ แต่ก่อนอาจจะมาในรูปแบบของการคิดค้นสินค้าเจ๋งๆ ครีมเทวดารักษาได้ทุกโรค น้ำยาล้างทำความสะอาดที่ทำความสะอาดแม้คราบที่ฝังแน่นที่สุดก็หลุดออกมาได้ หรือสมาร์ทโฟนที่สามารถทำงานได้หลายอย่างทั้ง ฟังเพลง เล่นเกมส์ เครื่องคิดเลข ไฟฉาย ระบบนำทาง ต่างๆนานา นั่นก็เป็นการคิดค้นและสร้างสินค้าให้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แล้วโฆษณา ทำการตลาด ให้ผู้คนรู้จักและเข้าถึงสินค้าตัวนี้มากขึ้น ซึ่งผลตอบรับจะดีหรือไม่ดีก็ต้องมาดูอีกรอบว่า ยอดขายนั้นเป็นอย่างไร
เช่น ในระยะเวลา 1 ปี ยอดขายสินค้าตัวนี้ ทำได้เท่าไหร่ในแต่ละเดือน มีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ลดลง หรือคงที่ นี้ล่ะที่จะเป็นตัวกำหนดว่า สินค้าของเราติดตลาดหรือไม่ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงคุณภาพด้วย ถ้าสินค้ามีคุณภาพที่ไม่ดี แต่ว่ามีการโฆษณาดี คนก็จะแห่ซื้อในช่วงแรกๆ พอใช้ไปสักพักก็เริ่มลดถอยลง ยอดขายก็จะค่อยๆตกลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากมีการผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพ ทำการตลาดดีดี สามารถเอาใจผู้บริโภคได้ นอกจากช่วงแรกจะได้ยอดขายดีดีแล้ว ยังทำให้สินค้าสามารถอยู่ในตลาดได้ยาวนาน เพราะมีฐานลูกค้าเดิมที่มีการบอกต่อ ที่เหลือก็เป็นการกระตุ้นและโฆษณาให้ลูกค้ารายใหม่ๆได้เข้าถึงสินค้าของเรามากยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมการทำธุรกิจถึงต้องมี “ ไอเดีย ”
ไอเดียการสร้างธุรกิจให้ติดตลาดที่ผ่านมา อาจจะเน้นที่ว่าจะ ผลิตอะไร เพื่อใคร(กลุ่มเป้าหมาย) และเพื่ออะไร ที่ในปัจจุบันการคิดเท่านั้นอาจจะไม่เพียงพอ เราต้องคิดต่อไปอีกว่า สิ่งที่เรากำลังจะสร้างมันตอบโจทย์การใช้งานหรือการบริโภคได้มากน้อยแค่ไหน อย่างเช่น การสร้างบ้าน,รีสอร์ท,คอนโด ก็ต้องศึกษาเจาะลึกเข้าไปถึงวิถีชีวิตของคนปัจจุบันรวมถึงวิเคราะห์ลูกค้าในอนาคตด้วย เพราะต่อไปแน่นอนว่าเทคโนโลยีต่างๆย่อมมีการพัฒนาไปอย่างไม่สิ้นสุด ยิ่งถ้าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่ทำ และสร้างเรื่องราวเข้าไปด้วย งานธุรกิจของเราย่อมมีความหมาย โดดเด่นและตรึงใจลูกค้าได้ในระยะยาว
เช่นเดียวกันกับการที่ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจมาจากซีรีส์เรื่องหนึ่ง ที่ชื่อว่า คอนโด/บาริสต้า/สถาปนิก จะเห็นว่า ในเรื่อง การสร้างคอนโดให้ออกมาในรูปแบบของกรีนดีไซน์ (Green design) ที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะออกแบบให้มีแค่พื้นที่ว่างเยอะ ๆ เพื่อให้สามารถปลูกต้นไม้ได้ หรือให้มันออกมาดูสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การออกแบบนี้ต้องคำนึงถึงการใช้งานที่ตรงกับคอนเซ็ปต์และเข้าถึงแก่นของคำว่า กรีนดีไซน์ (Green design) ได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความเป็นกรีนดีไซน์(Green design) ทั้งภายนอกและภายใน ด้วยการออกแบบสร้างระบบท่อนำน้ำที่เหลือใช้จากการอุปโภคและบริโภคไปรีไซเคิลให้เป็นน้ำที่สามารถรดต้นไม้ต่อไปได้ หรือแม้แต่การออกแบบห้องให้สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระพร้อมทั้งตกแต่งภายในด้วยการเอาความเป็นธรรมชาติเข้ามาและมีการใช้สีสันที่สบายตา ให้ผู้ที่อยู่อาศัยนั้นรู้สึกว่า ห้องมีขนาดกว้างขึ้นและให้บรรยากาศที่น่าอยู่มากขึ้น ซึ่งกว่าจะออกแบบให้เข้าถึงแก่นของกรีนดีไซน์ (Green design) จริงๆ ตัวเอกในเรื่อง ซึ่งเป็นสถาปนิกนั้นต้องผ่านการแก้งาน แก้แล้ว แก้อีก นำเสนออยู่หลายรอบเหมือนกัน กว่าโครงการคอนโดจะผ่าน
ซึ่งทำให้เราเห็นว่า การขายไอเดียไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นยิ่งใหญ่เกินบรรยาย ซึ่งสอดคล้องกับความจริงของการทำงานที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ต่างต้องผ่านการปรับปรุงแก้ไข ก่อนิดเติมหน่อยเรื่อยๆ ซึ่งไอเดียดีดี นั้นไม่ได้อยู่ไกลเลย มันซุกซ่อนอยู่รอบๆตัวเรานี่ล่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าเพิ่งมองข้ามสิ่งเล็กๆไปนะคะ บางอย่างมันก็สามารถเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจของเราได้เสมอ เพียงแค่เราต้องพยายามหา แก่น ของมันให้เจอ