เริ่มต้นปีใหม่ใน หุ้นปันผล ไตรมาส แรกของปี 2559 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมากเนื่องจากปัจจัยที่มีผลหลาย ๆ อย่าง ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนรุนแรง โดยที่เมื่อเดือนมกราคมนั้นตลาดหุ้นไทยได้ตกลงต่ำถึง 1,220 จุด หลังจากที่เดือนธันวาคมของปีที่แล้ว คือปี 2558 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,288 จุด จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นได้ล่วงลงต่ำต่อเนื่อง แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยได้ดีดตัวกลับไปปิดที่ 1,332 จุด ซึ่งนักวิเคราะห์หลาย ๆ คนมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะทำจุดต่ำสุดไปแล้วเช่นเดียวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ ราคาน้ำมันดิบและราคาทองนั่นเอง ที่ทั้ง 2 ตัวนี้ก็ได้ปรับตัวขึ้นหลังจากที่ล่วงมาซักระยะเช่นกัน และยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่กระทบเกี่ยวข้องอีกคือตลาดหุ้นยุโรปเริ่มมีการปรับตัว ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สังเกตจากการบ่นของพ่อค้าแม่ค้าหรือแม้กระทั่งชาวสวนซึ่งปีนี้ก็โดนผลกระทบจากภัยแล้งเข้าเล่นงานอีกทาง ทำให้ย่ำแย่หนักกว่าเดิม การส่งออกก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเนื่องจากตลาดต่างประเทศก็เพิ่งจะกระเตื้องขึ้นมา
สำหรับหุ้นไทยหลาย ๆ ตัว ก็ได้รับการปันผล หรือขึ้น XD กำหนดวันจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นไปบ้างแล้ว หลาย ๆ บริษัท แต่หุ้น Blue Chip ทั้งหลายก็ตกต่ำลงอย่างมากเนื่องจากหุ้นตัวใหญ่ ๆ เหล่านี้ถือเป็นตัวสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทย ซึ่งหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้วก็มีหลาย ๆ ตัว เช่น DTAC LPN BCP และ PTT เป็นต้น ซึ่งก็เปิดเปอร์เซ็นต์ปันผลที่ไม่สูงมากนักเนื่องจากหลาย ๆ บริษัทก็ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจเช่นกัน
สำหรับหุ้นเด่น ๆ ของประเทศไทยที่กำลังเป็นข่าวที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจว่าจะลงเอยอย่างไร นั่นก็คือหุ้นกลุ่มสื่อสารนั่นเอง ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Advance DTAC True และมีผู้เล่นเข้ามาร่วมวงชิงบัลลังก์ก็คือ JAS ซึ่ง JAS นี่เองที่ได้สร้างความมึนงงและปั่นป่วนให้กับบริษัทกลุ่มสื่อสาร เนื่องจาก JAS ได้มีการเข้าประมูล 4G เช่นกัน และยังมีข่าวอื่น ๆ ในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความน่าสนใจเช่นกัน ที่นักลงทุนควรจะติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในปัจจุบัน (เขียนเมื่อ 09/03/16) ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,390 จุด ซึ่งน่าจะมีแนวต้านที่ประมาณ 1,400 จุด ให้ทดสอบ
อัพเดท : ความเคลื่อนไหวหลังการ ประมูล 4G
การเลือกหุ้นปันผลจะมีด้วยกัน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ด้วยกัน
- หุ้นที่ปันผลเยอะ แต่ไม่สม่ำเสมอ
บริษัทที่มีการดำเนินงานภาพรวมได้ไม่ค่อยดีนัก เช่น บริษัทไม่ได้ทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือบริษัทจ่ายปันผลไม่สม่ำเสมอ มีการจ่ายปันผลพิเศษ ซึ่งการจ่ายปันผลพิเศษไม่ควรนำมาคิดถึงภาพรวมของบริษัท หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทเองอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากอาจวิเคราะห์ได้ว่าการดำเนินงานในธุรกิจของตัวเองนั้นไม่มีประสิทธิภาพพอทำให้ต้องมีการลงทุนในธุรกิจอื่น
- หุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอ
มีการปันผลตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยปกติของบริษัท มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ เช่น บริษัททำกำไรได้สม่ำเสมอตลอดหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา แม้จะไม่สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด แต่สามารถรักษาผลการดำเนินงานให้ดีอย่างที่ผ่านมาได้
โดยหลักแล้วหุ้นประเภทปันผลก็จะมีด้วยกัน 2 แบบใหญ่ ๆ ข้างต้น ซึ่งสำหรับนักลงทุนแล้วหุ้นในกลุ่มที่ 2 ที่มีความสม่ำเสมอในการดำเนินธุรกิจดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการลงทุนระยะยาว เนื่องจากคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นหุ้นที่ค่อย ๆ เติบโตอย่างต่อเนื่องได้เรื่อย ๆ ต่างกับหุ้นประเภทแรกที่มีความน่าสนใจน้อยกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าสนใจเลย เพราะหุ้นกลุ่มแรกนั้นจริง ๆ แล้วก็เหมาะเช่นกัน แต่ไม่เหมาะในการถือระยะยาวสักเท่าไรนัก สามารถเลือกลงทุนได้ในกรอบที่สั้นกว่าหุ้นกลุ่มที่ 2 ซึ่งถ้าลงทุนแบบนี้ก็ถือว่ามีความน่าสนใจเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการลงทุนในหุ้นนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก ๆ จากตลาดหุ้นที่เคยอยู่ที่ 1857 เมื่อปี 2558 หรือปีที่แล้วแต่พอมาปีนี้กลับตกลงประมาณ 300 จุด เลยทีเดียว ทำให้นักลงทุนทุก ๆ คนต้องหาแนวทางสำหรับตัวเองและมีการปรับตัว ปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับในแต่ละสถานการณ์ เพื่อทำให้เราไม่ขาดทุน และยังมีกำไรอยู่ได้ เช่น สำหรับใครที่ถือหุ้นที่ยังติดดอยอยู่หรือยังคงขาดทุนอยู่ก็มีเครื่องมือหรือสินค้าสามารถทำการ Hedging ได้นั่นก็คือ การซื้อหุ้น Dw หรือใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นที่นักลงทุนสามารถจัดการกับความเสี่ยงได้ เช่น เมื่อหุ้น A ที่เราถืออยู่นั้นราคาล่วงลงมามาก เราก็สามารถ Put Dw ของหุ้น A เพื่อนำกำไรจากขาลงของหุ้น A มาเฉลี่ยกับตัวมันเอง เพื่อให้เราจะได้ไม่ต้องขาดทุนมากจนเกินไป บางครั้งการป้องกันความเสี่ยงแบบนี้ก็สามารถทำกำไรให้เราได้เช่นกัน หรือการหัดไปมองตลาด TFEX ที่ก็ถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงได้ เพราะสามารถลงทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลงนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ลงทุนเองว่ามีความถนัดหรือไม่ ถ้าไม่ถนัด ไม่มีความรู้ ก็ควรศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน ไม่เช่นนั้นการทำ Hedging ในสินค้าอื่น ๆ นั้น อาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองก็ได้