เชื่อได้เลยว่าในการซื้อของมาใส่แต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เรายังต้องเลือกขนาดให้พอดี พอเหมาะกับตัวของเรา คนตัวเล็กก็ต้องเลือกของไซส์เล็ก ส่วนคนตัวใหญ่ของก็ต้องเลือกของไซส์ใหญ่ กับเรื่องหุ้นก็เหมือนกัน ก็มีขนาดให้เลือกลงทุนด้วย แบบ หุ้น S M L กันเลย เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละไซส์นั้นจะเป็นแบบไหนกันบ้าง
มาเริ่มที่หุ้นขนาดเล็กหรือ Small-Cap Stocks หรือจะเรียกว่าหุ้นไซส์ S กันก่อน
ว่าเป็นหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในดัชนี SET100 เพราะเป็นหุ้นขนาดเล็ก มีสภาพคล่องน้อย หรือบางครั้งก็เป็นหุ้นน้องใหม่ที่จดทะเบียนใน ตลาด MAI ด้วยเพราะบริษัทกลุ่มนี้เป็นบริษัทขนาดเล็ก ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากสักเท่าไร แต่บางครั้งถ้าวิเคราะห์ข้อมูลกันดีๆ เราก็อาจจะเจอเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เพราะเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี และมีโอกาสเติบโตสูง ราคาที่เห็นก็ยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนเล่นหุ้นที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์กิจการได้เป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่เราต้องระวังสำหรับหุ้นไซส์ S กลุ่มนี้ก็คือ จะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งในเรื่องสภาพคล่อง ความสามารถในการบริหารธุรกิจของผู้บริหารบริษัท ฐานะทางการเงินอาจจะยังไม่มั่นคงเพียงพอ จึงทำให้มีโอกาสล้มเหลวได้ง่ายกว่าบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ และบางครั้งหุ้นขนาดเล็กในกลุ่มนี้ก็อาจจะกลายเป็น หุ้นเก็งกำไร ที่มีราคาขึ้นลงแบบดิ่งมากก็เป็นได้
ถัดมาก็จะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ที่เรียกว่า หุ้นขนาดกลาง หรือ Mid-Cap Stocks หรือหุ้นไซส์ M
ซึ่งจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าการตลาดสูงขึ้นมาสักหน่อยและมีสภาพคล่องมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก หุ้นในกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่ม SET 51-100 และเมื่อดูในดัชนี SET100 ก็อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่ใช่ผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมของตัวเอง จึงทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าถ้าเรามีความสามารถในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเก่งแล้ว เราก็อาจจะเจอเพชรเม็ดงามในการลงทุนก็เป็นได้เช่นเดียวกับหุ้นขนาดเล็ก เพราะหุ้นในกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจได้อีกมา และยังมีความสามารถในการทำกำไรได้อีกด้วยเช่นกัน
สำหรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง หากกิจการนั้นไปไม่ไหวผลประกอบการไม่ดี ก็อาจจะถูกบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาซื้อกิจการก็เป็นได้ ซึ่งในการเข้ามาซื้อกิจการของหุ้นในกลุ่มนี้ บริษัทขนาดใหญ่ก็อาจจะประกาศรับซื้อโดยตรงจากผู้ถือหุ้น ที่บางครั้งเราอาจจะเจอแจคพ๊อตที่ได้ขายหุ้นในราคาที่สูงมากก็ได้
สุดท้ายก็มาถึงหุ้นขนาดใหญ่ หรือ Large-Cap Stocks หรือหุ้นไซส์ L
ที่บางครั้งเราก็อาจจะได้ยินคนในวงการซื้อขายหุ้นเรียกกันว่า หุ้น Big Cap ซึ่งจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาด หรือมีมูลค่าตลาดสูง ถ้าจะดูกันง่ายๆ ก็จะเป็นหุ้นในกลุ่ม SET50 ที่เป็นหุ้นของบริษัทที่มีขนาดใหญ่เป็น 50 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทแถวหน้าในกลุ่มอุตสาหกรรมของตัวเอง การซื้อขายมีสภาพคล่องสูง ทำให้นักลงทุนต่างชาติหรือพวกกองทุนต่างๆ นิยมซื้อกัน เพราะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ ผลประกอบดีอย่างต่อเนื่อง มีกำไรเกิดขึ้นทุกปี จ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย แต่ราคาจะแพง ทำให้อาจจะมีต้นทุนในการลงทุนสูงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามองในระยะยาวเรื่องเงินปันผลที่จะได้รับทุกปีแล้วก็ถือว่าคุ้มอยู่เหมือนกัน
เมื่อเรารู้จักหุ้นในแต่ละแบบไปแล้วก็ลองเลือกให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการที่จะลงทุน เพื่อทำให้เป้าหมายในการลงทุนของเป็นไปตามที่คาดหวังกัน