ในยุคนี้คงมีน้อยคนที่ไม่รู้จัก สตีฟ จ๊อปส์ เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก วิธีทำงาน การใช้ชีวิต และแนวคิดต่างๆ ประทับใจคนหลายล้านคน แน่นอน รวมทั้งเรื่องที่เขาลากออกจากมหาวิทยาลัย หลังจากเข้าเรียนได้เพียงแค่ 6 เดือน เพราะช่วงนั้นเขาคิดว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยให้เขาค้นพบคำตอบในสิ่งที่เขาต้องการ การเรียนไม่จบของสตีฟ จ๊อปส์ มักถูกคนรุ่นใหม่นำมาอ้าง เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะออกจากรั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย ไปตามฝัน
อ่านเพิ่มเติม : 10 คนดังถึง เรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้
นอกจากสตีฟ จ๊อปส์แล้วก็ยังมีเศรษฐีอีกหลายๆคนที่ไม่ผ่านรั้วมหาวิทยาลัย เพราะเขาเหล่านั้นหลงใหลและทำตามความฝันของตัวเอง คนรุ่นใหม่หลายคนหวังที่จะเดินตามรอยเศรษฐีเหล่านนี้ เพราะได้อ่านเรื่องราวบันดาลใจดีๆจากบุคคลต้นแบบทั้งหลายที่มีมากมายอยู่ทั่วโลก แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย ติดอยู่ที่ระบบความเชื่อและกระแสสังคมที่ปลูกฝังกันมานานว่า ต้องเรียนสูงๆ จบมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องลำบากยากจน เหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรที่ผู้ใหญ่เขาหวังดี เพราะภาพของคนเรียนไม่จบ หรือลาออกกลางคัน เป็นภาพของความล้มเหลว
จริงๆแล้วการเรียนไม่จบแล้วลาออกมาทำอะไรเองจนประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการทำงานต่างกับการเรียนหนังสือ โลกของการทำงานกว้างใหญ่ ไม่มีคนบอก ไม่มีคนสอน ต้องเจ็บเอง ล้มแล้วต้องลุกเอง ถ้าไม่ลุกก็จะจมอยู่ติดดินให้คนที่ไม่ยอมแพ้ ไต่ย่ำขึ้นไปสอยคว้าความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งที่จะต้องฟาดฟันกันแบบไม่มีการปราณี ในทางกลับกัน ถ้าสามารถทำได้สำเร็จก็จะเป็นที่น่าจับตาและเงินทองไหลมาเทมา เรียกว่าคุ้มค่าหยาดเหงื่อแรงกาย โดยเฉพาะแรงใจที่ต้องพกมาเกินร้อยแน่ๆ
หากตัดสินใจและไม่หันหลังกลับแน่นอน คือจะออกมาลุยเองแน่ๆ ก็ต้องกล้าเดินหน้าแล้วยึดหลัก 5 ประการดังนี้
- ข้อแรก ฟังเสียงหัวใจตัวเอง
ตัวเรารักชอบอะไร ทำอะไรได้นานๆ สนุก ไม่เหนื่อย วันๆ คิดอยู่แต่กับเรื่องเหล่านั้น หาเรื่องราวอันนั้นให้เจอ แล้วลุย
- ข้อสอง กล้าที่จะเดินออกมาจุดที่ปลอดภัยสะดวกสบาย
หรือให้ออกมาจาก Comfort Zone เพราะการที่เราอยากพบเจอกับสิ่งใหม่ ก็ต้องละทิ้งนิสัยที่เคยทำแบบเดิมๆ
- ข้อสาม ไม่กลัวความผิดพลาด ไม่กลัวความล้มเหลว
เพราะเป็นไปได้น้อยมากที่พอเราจับอะไรปุ๊บ มันจะปัง ดังปั๊บ ต้องบ่มเพาะ ผ่านการลองผิดลองถูก จึงจะเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นอย่าไปกลัวล้ม ล้มแล้วต้องลุก แล้วก้าวต่อไป ไม่ต้องกลัว
- ข้อสี่ คิดต่างอย่างสร้างสรรค์
อย่าไปพยายามทำอะไรซ้ำๆแบบเดิมที่คู่แข่งทำไปแล้ว เพราะถึงอย่างไร เราก็คงทำสู้เขาไม่ได้ พยายามมองหาช่องว่าง คิดต่าง ยังมีเรื่องราวที่จะรอการเติมเต็มจากความคิดใหม่ๆอยู่เสมอ
- ข้อห้า ไม่ต้องแคร์คำนินทาหรือขนบธรรมเนียมแบบเดิมๆ
หากเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพราะการที่เราจะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ จะต้องมีเสียงทักท้วง เย้ยหยัน จากเพื่อนบ้าง คนรอบข้างบ้าง หรือคนในบ้านเดียวกัน ก็จะทักนั่นทักนี่ จนเราฝ่อ ล้มเลิกไปเลยก็มี
ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้พากันไม่ร่ำไม่เรียน หรือให้ร้ายระบบการศึกษา เพียงแต่บางครั้งความสำเร็จไม่จำเป็นต้องรอจนเรียนจบ จังหวะและโอกาสที่ผ่านเข้ามาพร้อมความความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง ก็สามารถนำพาเราเดินในเส้นทางที่แตกต่างจากกระแสสังคมหรือความเชื่อแบบเดิมๆได้ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ไม่ใช่ทุกคนที่ลาออกแล้ว มาลุยงานทำตามฝัน จะสำเร็จร่ำรวยกันทุกคน แต่อย่างน้อยเราก็มีความกล้าในการตัดสินใจและลงมือทำ หากไม่สำเร็จก็ไม่ได้แปลว่าสูญเปล่า ความล้มเหลวนั้นจะไร้ประโยชน์ก็เมื่อเราล้มเลิก ดังนั้นถ้าล้มแล้วก็อย่าให้สิ่งต่างๆที่ผ่านมาไร้ค่า ล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่างน้อยเราก็ได้ขยับเข้าใกล้เส้นชัยมากกว่าเดิม