วันนี้จะมารีวิวประสบการณ์ในการทำงานตั้งแต่เริ่มเรียนจบปริญญาตรีมาจนถึงปัจจุบัน เผื่อเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ รุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่หรือเรียนจบแล้วก็ตามนะคะ หากย้อนเวลากลับไปตั้งแต่เริ่มทำงานได้เงินเดือนเป็นครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพ่อแม่ที่เห็นความสำคัญของการศึกษา แม้ที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรีทุกคน ที่สำคัญพ่อแม่ไม่เคยบังคับว่าลูกจะต้องเรียนอะไร ให้คิดเองเลือกเองและพร้อมสนับสนุน ช่วงนั้นตอนเรียนปริญญาตรีอยู่ เป็นช่วงที่สาขาการเงินในประเทศไทยกำลังเฟื่องฟู ทั้งธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ได้ยินข่าวว่ารุ่นพี่ที่จบไปทำงานเงินเดือนดี แถมได้โบนัสงามบางปีได้มากถึง 10 เดือน ประกอบกับเราเองก็ชอบเรียนวิชาที่เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจโดยเฉพาะในเรื่องการเงินด้วย จึงเลือกเรียนสาขาการเงินด้วยความคิดว่าน่าจะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้ดี
ใครจะเชื่อว่าพอเรียนจบปุ๊บ ภาวะการเงินในประเทศไทยตอนนั้นเป็นวิกฤตการเงินปี 2540 พอดี บริษัทไฟแนนซ์กว่า 58 บริษัทต้องปิดตัวไป ความหวังที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้ดีก็เลยต้องพลอยสูญสลายไปได้ แต่หนทางก็ยังไม่สิ้นในขณะที่กำลังหางานการเงินอื่นทำอยู่นั้น บริษัทจัดหางานที่เราได้ไปสมัครไว้ก็เรียกมาให้ไปทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวของบริษัทค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้น ก็คือบริษัท โมโตโรล่า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นพนักงานดูแลลูกค้า ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ตรงกับสาขาที่เรียนมา แต่ด้วยความที่อยากเริ่มทำงานทันที เรียนจบก็อยากมีรายได้ ไม่อยากว่างงานเกาะพ่อแม่กิน เลยตัดสินใจรับงานนั้น โดยคิดว่าในระหว่างนั้นเราก็ค่อย ๆ หางานที่เหมาะไปด้วย
งานพนักงานชั่วคราวดูแลลูกค้า เงินเดือนเริ่มต้นที่ 10,000 บาท บ้านอยู่แถวบางแค ต้องเดินทางไปทำงานไกลถึงถนนสุขุมวิท เงินเดือนกว่าครึ่งต้องหมดไปกับค่าทางด่วนและค่าน้ำมัน แถมค่าอาหารและค่าครองชีพแถวสุขุมวิทนี่ไม่ต้องพูดถึง ค่าอาหารกลางวันบวกน้ำเปล่าตกวันละ 50 บาท เมื่อ 20 ปีที่แล้วถือว่าแพงนะคะ พูดง่าย ๆ ว่าช่วงที่ทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวนี้แทบจะไม่มีเงินเก็บเลย หมดไปค่าใช้จ่ายอย่างที่บอกค่ะ เหลือนิดหน่อยพันสองพันให้พ่อแม่ไว้ใช้
ทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวดูแลลูกค้าอยู่ได้แค่ 2 เดือน ก็มีงานประจำติดต่อเข้ามาถึง 2 งานให้เลือก งานแรกเป็นพนักงานบัญชีและการเงินของโรงงาน ต้องไปทำงานไกลถึงโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร เขาเสนอเงินเดือนให้ที่เดือนละ 13,000 บาท ส่วนอีกงานเป็นพนักงานสินเชื่อลิสซิ่งของบริษัทญี่ปุ่นอยู่ในเมืองใจกลางกรุงเทพ เสนอเงินเดือนให้ที่ 12,000 บาท ใช้เวลาตัดสินใจอยู่พักใหญ่แล้วก็เลือกงานที่โรงงาน โดยจุดในการตัดสินใจมี 2 เรื่อง คือ เรื่องการเดินทางหากเป็นขาออกไปสมุทรสาครน่าจะรถไม่ติด เดินทางสะดวกกว่า อีกเรื่องก็คือหากเลือกทำงานใจกลางเมืองก็จะมีค่าครองชีพที่สูงทำให้เก็บเงินมยากมาก เงินเดือนคงจะหมดไปกับค่าเดินทางและค่าอาหารเช่นเดิม ด้วยความที่อยากเก็บเงินจึงตัดสินใจเลือกทำงานที่โรงงาน
การทำงานเป็นพนักงานการเงินที่โรงงานเป็นไปด้วยดี เป็นงานการเงินกึ่งบัญชี ทำงานไปก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เจ้านายใช้ให้ทำอะไรก็ทำ สุดท้ายนอกจากทำงานการเงินแล้วก็ยังทำงานจัดซื้อด้วย ถือว่าได้ประสบการณ์มากมาย ทำงานอยู่ได้ 2 ปี ก็รู้สึกอิ่มตัว อิ่มตัวในที่นี้คือเริ่มรู้สึกอยากหาความรู้เพิ่ม เป้าหมายที่อยากทำงานเก็บเงินก็สามารถทำได้ เงินเดือน 13,000 บาทต่อเดือน เราสามารถเก็บได้ครึ่งหนึ่งคือประมาณเดือนละ 7,000 บาท เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายมาก ขับรถคันเก่ามือสองที่ใช้ตั้งแต่สมัยเรียน เก่าขนาดไหนก็ยังไม่ได้คิดจะเปลี่ยนทำงาน 2 ปี เก็บเงินได้เกือบสองแสนบาท
ตอนนั้นตัดสินใจสมัครเรียนต่อปริญญาโทการเงินภาคค่ำ แบบเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เรียนเย็นวันธรรมดา 2 ครั้งต่อสัปดาห์และเรียนวันเสาร์ด้วย หากมองย้อนกลับไปถือว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก ยอมรับเลยว่าคนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจนจบได้นี่สุดยอดมาก มีเพื่อนที่เรียนตอนนั้นด้วยกันหลายคนที่สุดท้ายต้องลาออกจากงานมาเพื่อเรียนให้จบ แต่โชคดีที่เราไม่ต้องถึงขนาดนั้น คงเป็นเพราะลาออกไม่ได้ เพราะเราส่งตัวเองเรียนปริญญาโท ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่สักบาทเดียว สุดท้ายก็เรียนจบปริญญาโทได้ในเวลา 2 ปี แบบภูมิใจมาก
การตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทในตอนนั้นถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมีผลกับชีวิตการทำงานในช่วงต่อมาอย่างมาก เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนปริญญาโทด้วยกันตอนนั้นได้แนะนำงานการเงินในธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง เมื่อสมัครไปก็ได้รับการตอบรับด้วยเงินเดือนที่มากกว่าเดิมที่ทำที่โรงงานถึงกว่าสองเท่า ตอนนั้นทำงานโรงงานมา 4 ปี เงินเดือนตอนลาออกประมาณ 22,000 บาท มาได้งานธนาคารเงินเดือนอัพขึ้นเป็น 40,000 บาท หน้าที่ในตอนนั้นคือทำงานในแผนกการเงินของฝ่ายสินเชื่อรถยนต์ ดูเรื่องผลกำไรขาดทุนของธนาคารในส่วนสินเชื่อรถยนต์ วิเคราะห์ยอดขาย ผลกำไรขาดทุน จัดทำงบประมาณรายปี ส่งรายงานและบทวิเคราะห์ให้กับผู้บริหารทุกเดือน งานเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายและสนุก ได้เจอกับสังคมใหม่ในที่ทำงานใหม่ ทำงานกับธุรกิจใหม่ ๆ เป้าหมายในการทำงานก็เหมือนเดิมคือต้องการเก็บประสบการณ์และเก็บเงินด้วย ยิ่งมีรายได้มากขึ้นก็ยิ่งเก็บเงินได้มากขึ้น
ที่ทำงานใหม่นี้เราต้องเดินทางไปทำงานในเมือง รถยนต์คันเก่าที่ใช้มานานท่าจะไม่ไหว เลยต้องตัดใจบอกลาขายมันทิ้งไปและเลือกซื้อคันใหม่ที่เป็นรถมือสองสภาพใช้ได้ ราคาไม่กี่แสนบาทมาใช้ เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันที่จบมาทำงาน ออกรถใหม่ขับไปทำงานกัน แต่บอกตรง ๆ ว่าไม่กล้าค่ะ พ่อจะสอนตลอดว่ารถออกมาจากศูนย์เมื่อไหร่เราก็ขาดทุนทันที หากจะขาย และพ่อก็พาไปหาเจ้าของอู่ซ่อมรถที่รู้จักสนิทสนมกันเพื่อให้ช่วยพาไปเลือกซื้อรถที่เต็นท์ให้ รถไม่กี่แสนคันนั้นไม่น่าเชื่อว่าใช้งานมาได้อย่างดีไม่มีปัญหาตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี เรียกว่าคุ้มแสนคุ้ม แค่ไม่ใหม่ไม่เท่ห์เท่านั้นเองค่ะ
การทำงานที่ธนาคารนี้งานค่อนข้างหนักมาก ไม่เป็นเวลาต้องกลับบ้านดึกเกือบทุกวัน ยิ่งในช่วงที่ต้องส่งงบประมาณประจำปี บางทีกลับตีห้าก็ยังเคยมาแล้ว แต่ความยากลำบากในการทำงานนี้ก็แลกมาด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว พร้อมกับสวัสดิการที่ดีพร้อม ทั้งเรื่องวันหยุด วันลาและสวัสดิการเรื่องรักษาพยาบาลต่าง ๆ ถือว่าดีมาก ตัวเราเองถือว่ายังเป็นโสดไม่มีอะไรให้ห่วงมากก็เลือกที่จะทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน เป้าหมายการเก็บเงินก็ยังคงเหมือนเดิม คำพูดของเจ้านายคนแรกในชีวิตสมัยที่ทำงานโรงงานดังก้องอยู่ในหูตลอดเวลาว่า “เราต้องทำงานหนักให้มากในวันที่เรายังมีแรงอยู่ เพื่อที่เราจะได้สบายในวันข้างหน้า” โชคดีที่เรายึดคำพูดของเจ้านายคนนี้มาโดยตลอด จึงทำให้แม้บางครั้งจะท้อถอยหรือเหนื่อยกับงานบ้าง สุดท้ายก็จะมองไปที่เป้าหมายของการต้องการเก็บเงินให้ได้เป็นหลัก
ข้อดีของการทำงานหนักอีกอย่าง ก็คือ ทำให้เราไม่มีเวลาไปไหนมากนัก หลังเลิกงานก็เหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้านนอน ไม่เปลืองเงิน บางทีทำงานเพลิน ๆ ครบเดือนเงินเดือนเข้าบัญชีอีกแล้ว ทำไปแป๊บ ๆ ก็ครบเดือน เงินเข้าบัญชีอีก เงินเก่ายังไม่ทันได้ใช้ เรียกว่าเงินในบัญชีพอกพูนมากค่ะ ตอนนั้นธนาคารมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย เราก็เลือกให้หักเปอร์เซ็นต์สูงสุดเท่าที่เขามีให้เลือกเลย ก็คือ 10% ค่ะ แล้วบริษัทก็จะสมทบอีก 10% เมื่อไหร่ที่ลาออกก็จะได้เงินทั้งหมดนี้คืนพร้อมผลตอบแทนด้วย ทำงานธนาคารนี้อยู่ 5 ปี ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อเปลี่ยนงาน พอดีเจ้านายออกไปทำที่ใหม่ ก็เลยติดต่อมาให้ไปทำด้วย ตอนลาออกยังจำได้เลยว่า ได้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของธนาคารมาเป็นเงินกว่า 700,000 บาทค่ะ ส่วนเงินที่เก็บมาได้ในระหว่างทำงานนี่เรียกว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ถึง 7 หลักเลยค่ะ เป็นช่วงชีวิตของการทำงานที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าทั้งเรื่องประสบการณ์และเรื่องเงิน
นับตั้งแต่เริ่มทำงานครั้งแรกจนถึงวันนี้ก็กว่า 20 ปีอย่างที่บอก เงินเดือนตอนนี้ 6 หลักค่ะ แต่ช่วง 10 ปีหลังมาเก็บเงินไม่ได้เท่ากับช่วงแรกที่ทำงาน เพราะหลังแต่งงานมีครอบครัวก็มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น แต่เงินที่เก็บได้ตอนแรกก็นำไปกระจายลงทุนในกองทุน ในหุ้น ฝากธนาคาร ซื้อทอง ซื้อที่ดิน ฯลฯ ทำให้ได้รับผลตอบแทนคืนมา ดีกว่าฝากธนาคารไว้อย่างเดียว
สำหรับคำแนะนำที่จะมีให้กับน้อง ๆ ก็คือ การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะทิ้งไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเรียนให้จบอย่างน้อยก็ปริญญาตรี เพื่อให้หางานที่มั่นคงทำให้ได้หรือหากเราจะตัดสินใจทำธุรกิจเองเราก็ต้องมีความรู้อยู่ดี เมื่อทำงานกับใครก็ตาม ขอให้อย่าเลือกงาน มีความอดทน ขยัน ใฝ่รู้ แม้จะมีประสบการณ์การทำงานมานาน บางครั้งก็ยังมีเรื่องใหม่ ๆ สำหรับเราให้เราเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่มีใครแก่เกินเรียน ให้เกียรติคนที่เราทำงานด้วย ต้องรู้จักว่าเวลาไหนควรต้องสู้ เวลาไหนควรยอม ทำงานที่ไหนก็จะทำได้นาน เจ้านายจะรักเอ็นดูและคอยสนับสนุน การทำงานก็จะสนุกและไม่เครียด สุดท้ายขอให้น้อง ๆ ทุกคนโชคดี ได้ทำงานที่ตัวเองรักและสนุกกับงานกันนะคะ