กองทุน ETF คือกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียน และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างผลกำไรให้คุณได้มากเช่นเดียวกับการเล่นหุ้น โดยมีนโยบายการลงทุน เพื่อมุ่งเน้นให้ได้อัตราผลตอบแทนเทียบเท่าดัชนีที่ใช้อ้างอิง โดยดัชนีที่ใช้อ้างอิงของ “Equity ETF” แรกของไทยก็คือ SET 50 Index ซึ่งการที่มีการลงทุนในกองทุน ETF จะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ โดยลงทุนในหน่วย Equity ETF
หากคุณต้องการลงทุนกับ ETF จะมีการซื้อขายอย่างไร
กองทุน ETF นั้นคุณสามารถซื้อขายผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง โดยผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อ ขายหน่วย Equity ETF จะส่งคำสั่งซื้อ – ขาย ผ่านทางโบรกเกอร์ ที่ผู้ลงทุนเปิดบัญชีไว้ ในราคาและจำนวนที่ต้องการ ในส่วนของค่าใช้จ่าย ระหว่างการซื้อขาย ก็เหมือนกับการซื้อ – ขาย หุ้นสามัญ จะมีค่าใช้จ่ายในการซื้อ – ขาย Equity ETF ที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ และผู้ขายโดยตรง นั่นก็คือ ค่าคอมมิชชั่น (Commission Fee) ในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่โบรกเกอร์ นั้นผู้ลงทุนจะต้องใช้บริการในอัตราที่ตกลงกันไว้ พร้อมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% สำหรับค่าคอมมิชชั่นของหน่วยลงทุน ETF นั้นจะมีเรียกเก็บในอัตราไม่ต่ำกว่า 0.1% ของมูลค่าการซื้อขาย
การกำหนดราคาของ Equity ETF เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันคือ
- ราคาซื้อ – ขาย หมายถึง ราคาซื้อ และราคาขายที่ปรากฎอยู่บนกระดานซื้อขาย ETF ซึ่งราคานี้จะถูกกำหนดโดยความต้องการซื้อ และความต้องการขาย ของผู้ลงทุน ETF ในตลาด
- มูลค่าต่อหน่วย หมายถือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนต่อหน่วย ซึ่งคำนวณจากราคาซื้อ – ขายของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบใน SET50 Index ณ สิ้นวันทำการ แต่สำหรับ Equity ETF แล้ว ทางบริษัทจัดการที่เป็นผู้จัดการกองทุน Equity ETF จะมีการคำนวณและรายงานมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยประมาณทุกนาทีตลอดเวลาทำการซื้อ – ขาย ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยประมาณนี้ได้ถูกเรียกว่า “Indicative NAV : INAV”
ผลตอบแทนในการลงทุน เราก็สามารถจำแนกออกมาเป็น 2 แบบด้วยกัน
- กำไรจากส่วนต่างของราคา หากผู้ลงทุนที่สามารถซื้อหน่วยลงทุนใน ETF ได้ในราคาต่ำ แล้วสามารถขายได้ในราคาสูง กว่าเวลาที่ซื้อมา คุณก็จะได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคา
- เงินปันผล ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากการถือหน่วย ETF ที่ได้มาจากเงินปันผลของบริษัทที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index โดยผู้จัดการกองทุนจะทำการจัดสรรเงินปันผลหลังจากหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนไปแล้ว
ในส่วนของความเสี่ยง อย่างที่หลาย ๆ คน ได้บอกไว้ว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง” กองทุน ETF นี้ก็เช่นกัน คุณควรศึกษาในรายละเอียดและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการก่อนตัดสินใจลงทุนไป ทั้งนี้ผู้ลงทุนอาจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เรียกว่า “Tracking Error Risk” อีกด้วย ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ผลตอบแทนของหน่วย Equity ETF ไม่เท่ากับอัตราผลตอบแทนของดัชนีได้ 100%
การลงทุนขั้นต่ำ ในกองทุน ETF นั้นคุณจะต้องลงทุนซื้อ – ขายเป็น Board Lots โดยจำนวนขั้นต่ำ 1 board lot เท่ากับ 100 หน่วย ดังนั้น ถ้ากองทุน ETF มีราคาเท่ากับ 5.50 บาทต่อหน่วย การลงทุนขั้นต่ำของคุณจะเท่ากับ 550 บาทเท่านั้น (โดยไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย) ส่วนการเสียภาษี การลงทุนในหน่วย Equity ETF ผู้ลงทุนรายย่อยที่ซื้อหน่วย Equity ETF ต้องการขายหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรจากส่วนราคา อย่างเช่น ซื้อมาที่ 6.50 บาท แล้วต้องการขายที่ 6.90 บาท เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคา กำไรที่นักลงทุนได้รับส่วนนี้ไม่ต้องเสียภาษี (เช่นเดียวกับหุ้น) แต่ถ้าผู้ลงทุนถือหน่วย Equity ETF แล้วได้รับเงินปันผล นักลงทุนจะต้องเสียภาษี โดยถูกหัก ณ ที่จ่าย 10% และไม่ต้องนำเงินปันผลไปคำนวณกับรายได้อื่น ๆ เพื่อเสียภาษีตอนปลายปีอีก
การลงทุนใน Equity ETF ต่างจากการลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมดัชนีอย่างไร
การลงทุนกองทุน ETF มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้นค่ะ แต่ได้รับผลประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงคล้ายกับการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี เป็นกองทุนที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในหุ้นที่มีอยู่ในดัชนี SET50 คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมผ่านตารางเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของการลงทุน ETF กับกองทุนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงดังนั้นคุณจะต้องศึกษาและทำมั่นใจก่อนตัดสินใจลงทุนไป เพื่อผลประโยชน์อันสูงสุดจากการลงทุนแต่ละครั้งของคุณ หากไม่แน่ใจให้ปรึกษากับผู้เชียวชาญเพื่อให้คุณได้ทราบถึงทิศทางในการลงทุนและเทคนิคการเพิ่มผลกำไรให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.set.or.th/th/products/etf/etf_faq.html