บัตรเครดิตเป็นบัตรพลาสติกที่สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสดได้ ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีมานานแล้วจนคนทั่วไปคุ้นเคยและรู้จักกันดี แรก ๆ ที่บัตรเครดิตได้อุบัติขึ้นมาบนโลกใบนี้นั้น บัตรเครดิตดูเป็นของแปลกใหม่ที่หากใครได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ ได้หยิบบัตรเครดิตออกมาใช้ก็จะดูเท่ห์ เด่นกว่าใคร ประมาณว่าเราเป็นคนมีเครดิตที่สามารถใช้บัตรพลาสติกใบหนึ่งจ่ายแทนการใช้เงินสดได้ ในขณะที่คนอื่นซื้อของแบบเดียวกับเราแต่ต้องจ่ายเงินสด
ต่อมาก็มีผู้คนมากมายที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของบัตรเครดิตกันมากขึ้น อาจด้วยเหตุผลหลากหลายประการ เช่น ความนิยมในการใช้รูปแบบการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการโดยที่ไม่ต้องใช้เงินสด อีกทั้งธนาคารก็ต้องการลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตมากขึ้นจะได้รายได้ทั้งค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยมากขึ้น ทำให้คนที่มีโอกาสเป็นเจ้าของบัตรเครดิตก็ขยายวงกว้างออกไป ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เหมือนในสมัยที่บัตรเครดิตออกมาแรก ๆ
เมื่อใครก็ได้สามารถเป็นเจ้าของบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น บัตรเครดิตก็ไม่ได้ดูพิเศษเหมือนเดิม เหล่าธนาคารต่าง ๆ ก็พากันออกบัตรเครดิตใบใหม่เพื่อให้มีความพิเศษเพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการความพิเศษหรือเอกสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น ๆ จากบัตรเครดิตที่มีหน้าตาเป็นบัตรพลาสติกธรรมดาแบบบัตร Classic ก็ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นบัตรทอง ที่คุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครบัตรทองได้นั้นก็ต้องมีรายได้ที่มากขึ้น คราวนี้ใครที่ยกระดับจากถือบัตร classic ธรรมดามาถือบัตรทองก็ดูโก้ขึ้น หยิบมาใช้ได้แบบเชิด ๆ เห็นใครเปิดกระเป๋าสตางค์ออกมามีบัตรเครดิตสีทองสะท้อนแสงวิบวับ ดูเท่ห์ชะมัด!
พอคนเริ่มถือบัตรเครดิตทองกันมากขึ้น บัตรเครดิตทองก็ไม่ได้ดูพิเศษแล้ว มองไปทางไหนก็เห็นมีแต่คนมีกัน ธนาคารก็ออกบัตรใหม่ที่พิเศษกว่าเดิมคราวนี้เป็นบัตรแพลตินั่ม ผู้ที่จะถือบัตรนี้ได้ก็ต้องมีคุณสมบัติเรื่องรายได้ที่สูงขึ้นไปอีก สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับจากบัตรแพลตินั่มก็พิเศษกว่าบัตรทองและบัตรคลาสสิก ใครที่ชอบความแตกต่างชอบอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นพอเจอธนาคารยื่นข้อเสนอบัตรแพลตินั่มมาก็อดใจไม่ไหวที่จะต้องรับไว้
บัตรเครดิตแพลตินั่มในปัจจุบันมีหลายคนถามว่ายังเป็นแพลตินั่มอยู่หรือไม่ ความหมายก็คือมันยังคงมีความพิเศษอะไรตรงไหนบ้างหรือเปล่า เพราะการพัฒนารูปแบบของบัตรเครดิตก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่บัตรแพลตินั่มนี้เท่านั้น ปัจจุบันนี้มีบัตรเครดิตซิกเนเจอร์ บัตรเครดิตอินฟินิท ที่มีความพิเศษแบบเรียกว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของผู้ถือบัตรเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ผู้ถือบัตรจะได้รับมันเกินกว่าที่จะจินตนาการได้หากจะย้อนไปเมื่อแรกที่บัตรเครดิตเริ่มอุบัติออกมาให้เป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อการใช้จ่ายแทนเงินสดเท่านั้น
บัตรเครดิตซิกเนเจอร์หรืออินฟินิทมีเอกสิทธิพิเศษที่มอบให้กับลูกค้า เช่น อัพเกรดตั๋วโดยสารเครื่องบินเป็นชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่งได้ปีละ 2 ครั้ง สิทธิในการใช้รถลีมูซีนรับเพื่อไปที่สนามบินสุวรรณภูมิปีละ 2 ครั้ง สิทธิในการเข้าไปใช้บริการในล็อบบี้ของสนามบินสุวรรณภูมิในขณะที่รอเครื่องบินออก สิทธิในการสะสมคะแนนจากยอดใช้จ่ายในบัตรและเปลี่ยนเป็นจำนวนไมล์สะสมเพื่อแลกเป็นตั๋วเครื่องบิน สิทธิในการเข้าใช้บริการในล็อบบี้ของผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่เปิดตามห้างสรรพสินค้าชื่อดัง สิทธิในการเข้าจอดรถในที่จอดรถสำรองตามห้างฯ ชื่อดัง ฯลฯ เอกสิทธิเหล่านี้หากว่าเราไม่ถือบัตรเครดิตซิกเนเจอร์หรืออินฟินิทก็ต้องบอกว่าได้แค่มองตามและทำตาปริบ ๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้รับบริการพิเศษแบบนี้กับเขาบ้าง ส่วนคนที่ถือบัตรเครดิตเหล่านี้ก็มีสิทธิใช้บริการที่เหนือกว่าใคร
แน่นอนว่าเอกสิทธิ์ที่เหนือกว่าใครของบัตรเครดิตเหล่านี้ไม่ได้ได้มาฟรี แต่มาพร้อมกับสิ่งที่ลูกค้าจะต้องจ่าย สิ่งที่จะต้องจ่ายบางครั้งก็เป็นในรูปแบบของค่าธรรมเนียมที่สูงเกินกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของใครบางคน ยอดใช้จ่ายทั้งปีที่สูงเกินกว่าบางคนจะจินตนาการได้ หรือไม่เช่นนั้นก็จะต้องซื้อหน่วยลงทุน ฝากเงินหรือซื้อประกันกับทางธนาคารเจ้าของบัตรในมูลค่าคนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึง
บัตรเครดิตที่มีเอกสิทธิ์พิเศษเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของไม่ดี ทุกคนต่างก็ต้องการบริการที่มีความเป็นพิเศษเหนือกว่าคนอื่นอยู่แล้ว อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไป แต่หากเอกสิทธิ์เหล่านั้นมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เราควรต้องพิจารณาว่าเอกสิทธิ์เหล่านั้นมันเหมาะสมกับเราหรือไม่ เราจ่ายได้หรือไม่ บัตรเครดิตระดับสูงมาก ๆ บางบัตรกำหนดยอดการใช้ต่อปีไว้สูงถึงปีละล้านบาท บัตรเครดิตบางบัตรกำหนดเงื่อนไขรายได้ของผู้ถือไว้สูงกว่า 80,000 บาท ใครได้เป็นเจ้าของก็ต้องภูมิใจแน่ว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของบัตรนั้นได้ แต่นอกเหนือไปจากความภูมิใจต้องอย่าลืมมองเรื่องอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่อาจสูงเป็นหลักหมื่นบาท หากไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียมก็ต้องมียอดใช้จ่ายต่อปีที่สูงมาก เราควรต้องคิดคำนวณถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย
ไม่เช่นนั้นเอกสิทธิที่เราคิดว่าเราได้แบบฟรี ๆ มา ที่จริงแล้วมันไม่ได้ฟรี แต่ต้องแลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่ว หรือยอดการใช้จ่ายที่เราต้องพยายามใช้ให้ถึงเพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม หรือการซื้อประกันหรือหน่วยลงทุนที่เราไม่ได้ตัดสินใจดีพอ