ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งจากร้านคู่แข่งโดยตรงและร้านค้าออนไลน์ที่เปิดตัวออกมาคับคั่ง การรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตจึงเป็นกลยุทธ์การเอาใจลูกค้ายุคใหม่ที่นิยมใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวกสบาย ซื้อง่ายจ่ายคล่องทันทีโดยไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก ทั้งยังสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้ด้วย สถิติการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตนับวันจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้านค้าสามารถเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้ามากขึ้น แต่การรับชำระด้วยบัตรเครดิตนั้นมีต้นทุนที่สูง อย่างน้อยก็มีค่าบริการที่จ่ายให้ธนาคารหรือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบัตรเครดิต เจ้าของร้านค้าต้องรู้อะไรและควรทำอะไรบ้างเพื่อให้คุ้มต้นทุนค่าใช้จ่ายในการรับชำระสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต
เริ่มจากเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการซื้อหรือเช่าเครื่องรูดบัตรและสายเชื่อมต่อที่จะส่งข้อมูลจากเครื่องรูดบัตรไปยังบริษัทของบัตรนั้น ในเบื้องต้นเจ้าของธุรกิจต้องจัดหาเครื่องมือสำหรับรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางในการรับชำระเงินให้สะดวก เครื่องรูดบัตรเครดิตแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่ เครื่องรูดบัตรแบบ EDC และเครื่องรูดบัตร mPOS ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป ดังนี้
- เครื่องรูดบัตรแบบ EDC เป็นที่ใช้งานแพร่หลายในกลุ่มร้านค้าขนาดกลางและใหญ่เพราะต้นทุนราคาเครื่องรูดบัตรสูงกว่า โดยแบ่งออกเป็นรุ่นย่อยตามลักษณะดังนี้ แบบเชื่อมต่อสายโทรศัพท์บ้านทั่วไปเพื่อส่งข้อมูลไปธนาคารเจ้าของเครื่อง มีค่าใช้จ่ายทุกครั้งในการรูดบัตร อีกแบบจะเชื่อมต่อผ่าน SIM Card ของอุปกรณ์มือถือ เหมาะสำหรับร้านค้าที่ไม่มีสายโทรศัพท์บ้าน สามารถเชื่อมต่อแบบมีสายหรือไร้สายและไม่มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการรูดบัตร แต่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนแทน นอกจากนี้ยังมีแบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือ LAN สำหรับร้านค้าที่ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการรูดบัตรแต่ละครั้ง
- เครื่องรูดบัตร mPOS เป็นอุปกรณ์เสริมในลักษณะเครื่องอ่านบัตรหรือ Card Reader มีการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชั่นเครื่องรูดบัตร mPOS ของธนาคาร จุดเด่นคือความกะทัดรัดของเครื่องทำให้พกพาสะดวก มีต้นทุนราคาเครื่องถูกกว่าและขอใช้งานกับธนาคารง่ายกว่า
เครื่องรูดบัตรทั่วไปใช้งานอย่างไร
หลังจากเชื่อมต่อเครื่องรูดบัตรกับอุปกรณ์เพื่อเข้าสู่ระบบธนาคารเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เจ้าของร้านค้าต้องดำเนินก่อนอื่นคือสมัครลงทะเบียนเข้าใช้บริการด้วยรหัสผ่าน จากนั้นเปิดแอปพลิเคชั่นเพื่อรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านบัตรเครดิต ทางร้านจะพิมพ์จำนวนเงินลงไป รับบัตรเครดิตของลูกค้ามารูดหรือเสียบเข้ากับตัวเครื่องอ่านข้อมูล กรณีที่ชำระสินค้าราคาสูงควรขอบัตรประจำตัวประชาชนมาตรวจสอบว่าตรงกับชื่อเจ้าของบัตรหรือไม่ เพื่อป้องกันลูกค้าปฏิเสธรายการต่อธนาคารและปฏิเสธการชำระเงินโดยอ้างว่าผู้ถือบัตรไม่ได้เป็นผู้ทำรายการด้วยตนเอง ป้องกันกรณีบัตรสูญหายหรือถูกโจรกรรมซึ่งทำให้ร้านค้าได้รับความเสียหาย ให้ลูกค้าเจ้าของบัตรตรวจสอบความถูกต้องก่อนเซ็นชื่อเป็นหลักฐาน ทางร้านรอระบบตรวจสอบจากธนาคารเจ้าของบัตรและส่งใบเสร็จให้ลูกค้าเซ็นยืนยันเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
การชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตรแบบใหม่แตกต่างไปอย่างไร
หลายคนคงคุ้นเคยกับขั้นตอนการรูดบัตรเครดิตแบบดั้งเดิมที่จะพิมพ์ใบเสร็จออกมา 2 ใบ เจ้าของบัตรเครดิตเก็บไว้ใบหนึ่ง อีกใบเซ็นชื่นยืนยันให้ร้านค้าเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ขั้นตอนการใช้เครื่องรูดบัตรบนอุปกรณ์มือถือสะดวกรวดเร็วกว่าการชำระเงินแบบเดิม เพียงเข้าสู่ระบบเพื่อพิมพ์จำนวนเงินให้ลูกค้าเซ็นชื่อลงในแอปพลิเคชั่นแล้วกรอกเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลเพื่อรับใบเสร็จออนไลน์ ลูกค้าเลือกได้ว่าจะรับใบเสร็จทาง SMS หรือ E-mail แทนการรับสลิปกระดาษแบบเก่า ต่อไปคือร้านค้าใส่รหัส PIN ที่ได้รับจากธนาคารที่สมัครใช้บริการและกดยืนยันข้อมูล รอการตรวจสอบสักครู่ หลังจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าจะได้รับสลิปออนไลน์โดยอัตโนมัติ การจับจ่ายใช้สอยง่ายขึ้น ยุ่งยากน้อยลง ลูกค้าและร้านค้าไม่จำเป็นต้องเก็บสลิปกระดาษไว้เป็นหลักฐานอีกต่อไป สามารถตรวจสอบฐานข้อมูลเพื่อจัดโปรโมชั่นและส่วนลดให้ลูกค้าประจำง่ายขึ้นจะเอื้อประโยชน์ต่อร้านค้าเป็นอย่างมาก
ค่าใช้จ่ายที่ควรรู้
ก่อนตัดสินใจให้บริการรับชำระด้วยบัตรเครดิต ค่าใช้จ่ายต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้และต้องคำนวณอย่างรอบคอบที่สุด ต้นทุนแรกเป็นราคาของเครื่องรูดบัตรที่อาจซื้อขาดหรือเช่าก็ได้ อีกส่วนเป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้ทางธนาคารหรือบริษัทเจ้าของเครื่องรูดบัตร ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 2%-3% ของยอดการรูดบัตรแต่ละครั้ง เรื่องอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันนั้น หากร้านค้ารับชำระบัตรเครดิตของธนาคารที่ตรงกับเจ้าของเครื่องรูดบัตร การคิดค่าธรรมเนียมจะอยู่ในระดับ 2% ถูกกว่าการรับชำระบัตรเครดิตของธนาคารอื่น ๆ ที่อาจคิดค่าธรรมเนียม 3%-5% หลังจากที่รู้เรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำมาคำนวณว่าจะมีผลกำไรคงเหลือเท่าไร ช่วยให้จัดการเรื่องเงินง่ายขึ้นและวางแผนธุรกิจได้อย่างละเอียด
ควรทำอะไรบ้างเพื่อให้คุ้มทุน
เมื่อร้านค้าเป็นฝ่ายออกค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่รูดบัตรชำระเงิน ถือเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงทีเดียว โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กและธุรกิจ SME ที่ขายสินค้าราคาไม่แพงและมีกำไรจากส่วนต่างไม่มากนัก ต้องคำนวณให้ดีว่าหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ยังคงมีกำไรคุ้มทุน หากขายของได้กำไรน้อย แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่รูดบัตร ทางร้านค้าอาจกำหนดขั้นต่ำในการรูดบัตรเครดิต เช่น ยอดซื้อ 300 บาทขึ้นไป ถึงจะรูดบัตรเครดิตได้ วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ลองพิจารณาจากประโยชน์ที่ได้รับคือลูกค้าจะต้องเลือกซื้อให้ครบยอดเงินตามที่กำหนด เพิ่มแรงกระตุ้นในการซื้อสินค้าทำให้ร้านค้ามียอดขายมากกว่ากว่าการชำระด้วยเงินสด ในทางกลับกันการกำหนดยอดซื้อขั้นต่ำอาจทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจเวลาใช้บัตรเครดิตไม่ได้ เสี่ยงที่จะเสียลูกค้าให้คู่แข่ง ทางร้านค้าจึงต้องคำนวณยอดซื้อโดยเฉลี่ยเพื่อกำหนดขั้นต่ำอย่างสมเหตุสมผลที่ลูกค้ายอมรับได้และพึงพอใจ ทั้งนี้ โดยปกติร้านค้าจะมีโปรโมชั่นส่วนลดให้อยู่แล้ว อาจใช้วิธีเสนอส่วนส่วนลดเมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตน้อยกว่าการจ่ายเงินสด เช่น ถ้าจ่ายด้วยเงินสดลด 10% หรือจ่ายผ่านบัตรเครดิตลด 5% จะลดภาระด้านค่าธรรมเนียมรูดบัตรเครดิตได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ สนับสนุนระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแทนการใช้เงินสด การชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สะดวกสบายและเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจมากทีเดียว แม้แต่ร้านค้าขนาดเล็กก็สามารถเข้าถึงบริการรูดบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น ลองพิจารณาให้ดีว่า หลังจากลงทุนกับระบบชำระด้วยบัตรเครดิตไปแล้ว ยังคงทำกำไรสมน้ำสมเนื้อกับยอดขายในแต่ละบิลเพื่อให้ระบบชำระด้วยบัตรเครดิตเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายเท่านั้น แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้ามากขึ้นอีกด้วย