ชีวิตการเรียนและการทำงานนั้นมีความแตกต่างกันมาก ต่อให้เด็กรุ่นใหม่ยุค Gen Y หรือ Z จะดูมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ยึดติดอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง มีความยืดหยุ่น ชอบงานที่ได้แสดงความสามารถและความเป็นตัวตน รักอิสระมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อก้าวพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานไหนรูปแบบไหนก็ตาม ก็น่าจะต้องมีการปรับตัวไม่มากก็น้อย เพราะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิต เป็นโลกแห่งความเป็นจริงที่เราต้องเจอ ไม่เหมือนกับโลกในมหาวิทยาลัยที่มีคนคอยซัพพอร์ตอยู่ตลอดเวลาทั้งพ่อแม่ อาจารย์ และเพื่อน
ส่วนใหญ่คำแนะนำหรือประสบการณ์ในการทำงาน เด็ก ๆ มักจะได้ยินได้ฟังจากพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ รุ่นพี่ หรือเพื่อน ๆ อยู่บ้าง ซึ่งคำแนะนำเหล่านี้ถือว่ามีคุณค่ามาก ทำให้เราได้เห็นภาพกว้าง ๆ ของการทำงานว่าเราจะต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนที่จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นจริง ๆ การรับรู้ก่อนทำให้เราเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดีกว่านั่นเอง
วันนี้เรามีคำแนะนำจากผู้บริหารที่ต้องบอกว่าผ่านประสบการณ์ในการทำงานมาอย่างโชกโชน เห็นอะไรมาเยอะในวงการการทำงาน เจอมาทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว จึงถือเป็นคำแนะนำที่น่าจะเป็นประโยชน์มากถ้าหากว่าเด็ก ๆ จนใหม่ Gen Y และ Gen Z จะรับฟัง ลองเก็บไปคิดและนำไปปรับใช้ดู
- เรียนรู้ให้มากที่สุดก่อนเรื่องอื่น คนทำงานที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเริ่มต้นจากศูนย์กันทุกคน ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์ก็คือต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่านั้น ก่อนจะตั้งคำถามว่า “งานนี้ให้เงินเดือนเท่าไหร่” ต้องเปลี่ยนเป็นถามตัวเองว่า “เรามีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ได้หรือไม่” ถ้าใช่ก็ทำให้เต็มที่ ถ้าเรายังคิดว่าเราสามารถไม่พอ แต่เพราะนี่คือโอกาสของเรา ๆ จึงต้องเรียนรู้ให้มากที่สุด จริงอยู่ที่ใครก็อยากจะเลือกงานที่ให้เงินเดือนและผลตอบแทนเยอะ ๆ แต่ต้องอย่าลืมถามตัวเองด้วยว่า เราทำงานคุ้มกับเงินเดือนหรือไม่ ความสามารถของเราเหมาะกับเงินเดือนที่เราได้รับหรือเปล่า เพราะคำถามเหล่านี้จะทำให้เราหันกลับมาพัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ คุณคาซุโอะ อินาโมริ ผู้ก่อตั้งบริษัท เคียวเซเร่ (Kyocera) ได้เคยบอกไว้ถึงผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงานว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถ ความพยายาม และทัศนคติที่ดีของเราเท่านั้น ดังนั้นอย่าเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเรียกร้องก่อนที่จะเรียนรู้
- โลกการทำงานไม่ได้วัดกันที่เกรดที่เรียนจบ ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเรามีการวัดผลสัมฤทธิ์จากการเรียนด้วยเกรดเพื่อให้นักเรียนนักศึกษารู้ว่าเราเรียนรู้เรื่องหรือไม่ แต่โลกแห่งการทำงานนั้นไม่ใช่ เด็กที่เรียนจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่การันตีว่าเขาจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน เพราะการทำงานนั้นนอกจากความรู้แล้ว เรายังต้องอาศัยประสบการณ์จะเกิดขึ้นได้จากการสั่งสมและเรียนรู้จากการทำงานจริง ๆ เท่านั้น นอกจากนั้นความสุขและความสำเร็จจากงานยังขึ้นกับปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี การเป็นผู้นำผู้ตามที่ดี การรู้จักบริหารวางแผนจัดการเรื่องงาน ฯลฯ ที่เราจะต้องค่อย ๆ สร้างให้เกิดขึ้นมาด้วย
- อุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดา ทางเดินที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอาชีพการทำงานของทุกคนไม่ได้เป็นเส้นตรงที่ราบเรียบ บางครั้งเราอาจเจอกับทางที่เป็นเขาวงกตเดินไปแทบหาทางออกไม่เจอ บางครั้งต้องเจอทางตัน ทำอย่างไรได้นอกจากต้องหมุนตัวเดินกลับมาเพื่อหาทางเดินต่อไปให้ได้ สิ่งที่เราต้องเจอในระหว่างการเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้และนั่นแหละที่จะเป็นประสบการณ์ในชีวิตการทำงานของเราได้ดีที่สุด ที่สำคัญถ้าต้องเจออุปสรรคก็ต้องอย่าท้อ ให้อดทนหาวิธี เรียนรู้และพัฒนาไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งเราก็จะเก่งเอง อย่าให้คนมาตราหน้าเราได้ว่าไม่อดทน
- อย่าก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว ผู้บริหารมากประสบการณ์ส่วนใหญ่จะแนะนำเหมือน ๆ กันคือถ้าย้อนเวลากลับไปได้ตอนเริ่มทำงานจะไม่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว แต่จะต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปด้วย หลายคนเน้นความสำเร็จของงานจนไม่แคร์คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ตัว สุดท้ายถึงงานจะสำเร็จก็จริงแต่คุณก็ไม่เหลือใครเลย และเราจะเรียกว่าเป็นความสำเร็จที่แท้จริงได้อย่างไร เราไม่ได้ทำงานแค่วันนี้วันเดียว ดังนั้นความสัมพันธ์กับคนรอบ ๆ ข้างจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จด้วย
- ทำให้เกินเข้าไว้ บางครั้งการถูกให้ทำงานเกินกว่าหน้าที่รับผิดชอบบ้างก็ทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้ ดังนั้นใครทำเกินไว้ก่อนก็ย่อมได้เปรียบ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นประสบการณ์สั่งสมให้เราต่อยอดไปในอนาคตได้ ไม่มีสูตรสำเร็จที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้มากไปกว่าคำว่า “ต้องทำงานให้หนัก” จริงอยู่ที่เพื่อนเราบางคน รุ่นพี่หรือรุ่นน้องช่างโชคดีจัง ทำไมเราไม่เห็นทำงานสบายได้เงินเยอะแบบเขา ขอบอกว่าคนที่จะโชคดีแบบนั้นมีแค่เพียงไม่ถึง 1% เท่านั้น คนที่เหลือเขาต้องแลกความสำเร็จมาด้วยการทำงานให้หนักเท่านั้น
สุดท้ายสิ่งที่ต้องไม่ลืมคือไม่มีใครจ้างเราด้วยเงินเดือนแพง ๆ แล้วไม่คาดหวังอะไรจากงานของเรา จริงไหมคะ ลองคิดดู ดังนั้นไม่ผิดหรอกที่เราอยากได้เงินเดือนมาก ๆ อยากมีชีวิตอิสระ เลือกงานได้ ไม่พอใจก็คิดว่าเปลี่ยนงานเอาก็ได้ แต่สิ่งที่เราต้องจำไว้เสมอก็คือทุกอย่างที่เราทำในวันนี้ มันจะหล่อหลอมความเป็นตัวตนซึ่งจะส่งผลถึงความสำเร็จของเราในวันข้างหน้าด้วย สร้างความแตกต่างด้วยการมีทัศนคติในการทำงานที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นดีกว่าค่ะ เอาใจช่วยน้อง ๆ ทุกคนที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ขอให้ได้งานที่ชอบและใช่ มีความสุขกันทุกคนค่ะ