สวัสดีครับเพื่อน ๆ ปัญหาครอบครัวที่คลาสสิคมาก ๆ ที่พี่หมีว่าทุกบ้านต้องเคยเจอ นั่นคือ ความไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อแม่กับลูกครับ ไม่ว่าช่วงอายุใดก็ตาม จะต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่ความเห็นไม่ตรงกัน ทั้งเรื่องการเลือกที่เรียน ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน อยากไปท่องโลก และอื่น ๆ สุดจะหามาทะเลาะกันได้ พ่อแม่ก็มักจะมองจากมุมผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่า และอยากสอนลูกให้ได้ดี ฝ่ายลูกก็คิดอยากจะทำอะไรด้วยตัวเองและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง แต่ประสบการณ์ก็ยังน้อย
เค้าว่ากันว่า การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและไม่มีสูตรสำเร็จ และแต่ละบ้านต้องปรับการเลี้ยงลูกให้เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง วันนี้พี่หมีจะยกตัวอย่างการเลี้ยงลูกที่ดูเหมือนจะดี แต่กลับเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กับลูกของเรา โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน ลองไปอ่านกันเลยครับ
-
ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก เพียงเพราะสิ่งนั้น “แพงที่สุด”
แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมอยากหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ไม่ว่าจะต้องอดทนทำงานหนักเพียงใด แต่หากเป็นเรื่องของวัตถุแล้ว บางทีเพื่อน ๆ อาจจะลองคิดดูดี ๆ ก่อนจะซื้อรองเท้าคู่สวยราคาแพงลิบให้ลูกใส่นะครับ เพราะบางทีลูกเราอาจจะไม่ได้เข้าใจเรื่องคุณภาพของรองเท้า แต่กลับมองว่าของแพงและแบรนด์เนมคือสิ่งที่ดีกว่าของธรรมดา โดยเฉพาะเด็กที่ยังแยกแยะไม่ค่อยได้
พี่หมีคิดว่า เราควรจะสอนลูกให้ตัดสินใจซื้ออะไรจากหลาย ๆ ทางเลือก โดยดูจากคุณภาพของสินค้า มากกว่าแค่แบรนด์และราคานะครับ การเลี้ยงลูกที่ดีคือการสอนลูกให้หาของที่ดีมีคุณภาพและคุ้มราคาที่สุด ไม่ใช่แค่ของที่ราคาแพงที่สุดในตลาดนะครับ รวมถึงให้เขาได้มีโอกาสเลือกเอง ตัดสินใจสิ่งที่เหมาะกับเขาเอง มากกว่าแค่ให้พ่อแม่ซื้อให้อย่างเดียวด้วยครับ
-
หาวิธีผลักดันให้ลูกตั้งใจเรียนด้วย “ของรางวัล”
หลายบ้านที่มีลูก ๆ อยู่ในวัยเรียนก็น่าจะเจอปัญหาโลกแตกกับการสรรหาสารพัดวิธีเคี่ยวเข็ญให้น้อง ๆ ตั้งใจเรียน จะได้สอบได้คะแนนดี ๆ เข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดี ๆ ต่อไปได้ ซึ่งถ้าการเชียร์ บ่น ขู่บังคับไม่ได้ผลแล้ว หลาย ๆ บ้านก็ใช้วิธีการสัญญาว่าจะให้รางวัลหรือเงินสดทุกครั้งที่ได้คะแนนดี แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละครอบครัว ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ผิด เพราะในชีวิตจริง เราทำดีก็มักจะได้รางวัลตอบแทนกันอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า การเลี้ยงลูกแบบนี้อาจจะทำให้น้อง ๆ เสพติดการได้รางวัล หรือทำอะไรก็หวังผลตอบแทนเสมอ โดยไม่สามารถผลักดันให้ตัวเองทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทัศนคติที่ค่อนข้างอันตรายเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่นะครับ เนื่องจาก หากเราต้องการประสบความสำเร็จ เราต้องสร้างแรงบันดาลใจจากตัวเราเองและผลักดันตัวเองให้ไปถึงเป้าหมาย รวมถึงอาจต้องอดทนไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควรบ้างเพื่อให้เราได้ดีกว่าในระยะยาว การทำงานโดยโฟกัสที่ค่าตอบแทนน้อยลงน่าจะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นครับ ถือเป็นการสอนลูกให้ไม่ยึดติดกับวัตถุนอกกายได้ดีทีเดียว
-
ไม่ให้ลูกทำงานระหว่างเรียนเพื่อให้ตั้งใจเรียนได้เต็มที่
ค่านิยมหนึ่งของเมืองไทยที่ต่างจากฝรั่งคือ เราไม่ค่อยให้เด็กวัยเรียนไปทำงานพาร์ทไทม์หรือฝึกงานกันอย่างแพร่หลาย เพราะหลายครอบครัวไม่เห็นความจำเป็นของการสละเวลาดูหนังสือไปทำงาน พ่อแม่หลายคนก็อยากให้ลูกได้เรียนเต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะพ่อแม่จะหาให้เอง แต่ที่จริงแล้ว การเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ลิ้มรสชีวิตคนทำงานจะทำให้พวกเขาได้เห็นภาพชีวิตการทำงานอย่างจริงจัง ฝึกจัดการชีิวิตตัวเอง แบ่งเวลา และรู้จักคุณค่าของเงินนะครับ นอกจากนี้ ลูก ๆ ยังจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าชอบงานแบบไหน อยากเรียนอะไร เป็นการเลี้ยงลูกที่ทำให้ลูกได้รู้จักตัวเองทางหนึ่งด้วยครับ
-
ช่วยจัดการเรื่องเงินแทนลูก
พ่อแม่บางคนอาจจะหวังดี อยากจะสอนลูกเรื่องการเก็บเงินไว้ใช้สำหรับเรื่องจำเป็นในอนาคต แต่บางทีก็ลามไปถึงตอนเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยจัดการจ่ายบิลต่าง ๆ ให้เพราะกลัวลูกจ่ายไม่ทันกำหนดแล้วจะเป็นหนี้ และช่วยลูกจัดการเก็บเงินออม กว่าจะรู้ตัวอีกที ลูก ๆ ก็ติดนิสัยใช้เงินไปวัน ๆ ตามที่มีในบัญชี โดยไม่ได้จัดการอะไรเองเลย แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้มั่นใจว่าลูกจะมีเงินเก็บแน่ ๆ แต่ก็จะไม่ช่วยสอนลูกให้จัดการเงินของตัวเองเลยนะครับ การเลี้ยงลูกที่ดีน่าจะปล่อยให้เขาได้จัดการเงินของตัวเอง และฝึกวินัยในการใช้เงินให้เป็น เพราะต่อไปถ้าเค้ามีครอบครัวแล้วบริหารเงินไม่เป็นนี่ น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่นะครับ
อ่านแล้วพ่อแม่คนไหนเข้าข่ายการเลี้ยงลูกแบบนี้ ก็ลองปรับดูนะครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าการเลี้ยงลูกไม่มีสูตรสำเร็จ พี่หมีว่าแต่ละบ้านก็มีวิธีสอนลูกของตัวเอง ยังไงก็ขอให้คิดถึงระยะยาวไว้ก่อน และสอนลูกให้ดูแลตัวเองได้โดยมีความรับผิดชอบก็น่าจะพอแล้วล่ะครับ สำหรับบ้านไหนที่อยากจะหาข้อมูลเรื่องการวางแผนการเงินเพิ่มเติม ก็เข้าไปดูข้อมูลในเวบไซต์โกแบร์ได้เลยนะครับ พี่หมีมีคำแนะนำเรื่องนี้ไว้มากมายเลยล่ะครับ