เคลียร์หนี้ แบบล้างกระดาน ด้วยสูตรเด็ด อยากทำแฮร์คัทหนี้ เริ่มยังไง
หากคุณกำลังประสบกับปัญหาหนี้สิน ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้บัรเครดิต กู้ซื้อรถ กู้ซื้อบ้านอยู่เราขอแนะนำวิธีการจัดการเคลียร์หนี้ แบบหมดจด ที่เรียกว่า การแฮร์คัทหนี้ เลย หลายคนอาจจะเคยได้ยินหรือพอรู้จักมาบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับวิธีการดังกล่าว บทความนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าอยากทำแฮร์คัทหนี้ เริ่มยังไงให้ได้ลองพิจารณากัน
แฮร์คัทหนี้ คืออะไร อยากทำต้องเริ่มยังไง
แฮร์คัทหนี้ คือ การจ่ายชำระหนี้ ที่มีการค้างชำระกันไว้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยตกลงถึงยอดหนี้ที่เหลือว่าจะมีการลดหนี้ให้คงเหลือเป็นจำนวนเท่าไหร่ จากหนี้ที่คงค้าง ณ ปัจจุบัน ไม่ใช่ยอดหนี้ของเงินต้นในอดีต พูดให้เห็นภาพได้ชัดก็คือ เป็นการตกลงกันระหว่างลูกหนี้ และเจ้าหนี้ว่าสามารถลดจำนวนหนี้สินที่มีการติดค้างอยู่ได้หรือไม่ ลดเหลือเท่าไหร่ และโดยทั่วไปลูกหนี้จะต้องนำเอาเงินมาจ่ายชำระหนี้เป็นเงินก้อนเพียงครั้งเดียว
ตัวอย่าง: หากคุณมียอดหนี้บัตรเครดิตรวมดอกเบี้ยแล้วจำนวนเงิน 200,000 บาท หากต้องการจะทำแฮร์คัทหนี้ คุณต้องเข้าไปพูดคุยกับสถาบันทางการเงินผู้ให้บริการบัตรเครดิตว่าขอลดยอดหนี้สินที่มีอยู่ 200,000 บาทได้หรือไม่ หลังจากนั้นก็จะเป็นการตกลงกันว่าสามารถลดได้เท่าไหร่ อย่างเช่นหากคุณ และเจ้าหนี้ตกลงกันที่ 180,000 บาท เราก็นำเอาเงินจำนวน 180,000 บาทจ่ายให้กับทางธนาคารเพื่อเป็นการปิดหนี้ และปิดบัญชีไปในตัว
การปิดหนี้ด้วยการจ่ายเงินก้อนในทีเดียวมักจะเกิดขึ้นกับหนี้สินที่เกิดกับภาคเอกชน หรือหนี้นอกระบบ ในกรณีที่เป็นหนี้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เราสามารถเจรจาขอชำระหนี้สินเป็นงวดจากยอดที่ได้รับการลดภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละธนาคารจะมีนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้อย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารก็จะพิจารณาความช่วยเหลือตามสภาพคล่องทางการเงินของลูกหนี้ เพราะธนาคารย่อมต้องการได้เงินคืนโดยที่ไม่ต้องทวงถามให้เสียเวลา และเสียงบประมาณ บางครั้งธนาคารจึงยอมเสียผลประโยชน์บางส่วนเพื่อให้ได้เงินคืนจากลูกหนี้เช่นเดียวกัน
วิธีการดังกล่าวจะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณประสบปัญหาทางการเงินอย่างแท้จริงจนไม่สามารถชำระหนี้สินได้ตามปกติ เนื่องจากเมื่อเราเข้าไปขอเจรจากับทางธนาคาร ธนาคารก็จะมีการตรวจสอบประวัติ และตรวจสอบว่าคุณมีวิกฤตทางการเงินจริงหรือไม่ ก่อนจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวในการปรับโครงสร้างหนี้ได้หากเราไม่ได้มีปัญหาทางการเงินและยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ตามปกติ
ข้อดี-ข้อเสียในการทำแฮร์คัทหนี้ สำหรับลูกหนี้
ข้อดี
- เป็นการจัดการภาระหนี้สินแบบล้มกระดานล้างใหม่ทั้งหมด คุณจะไม่มีหนี้สินในส่วนนี้ให้ต้องชำระรายงวดอีกต่อไป
- ลดการแบกรับภาระดอกเบี้ยโดยเฉพาะหนี้สินที่เราต้องผ่อนระยะยาว
- ทำให้เราสามารถปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเงินเพียงพอในการชำระหนี้ยอดเดิมแบบเต็มทั้งจำนวนแต่อย่างใด
ข้อเสีย
- การนำเอาเงินก้อนไปปิดหนี้ในทีเดียวอาจทำให้คุณไม่ต้องเผชิญกับภาระหนี้สินรุงรังก็จริง แต่มันก็ทำให้คุณอาจจะไม่มีเงินเก็บหรือเงินสำรองเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วยเช่นเดียวกัน
- การปรับโครงสร้างหนี้ด้วยวิธีการดังกล่าวจะทำให้เราเสียประวัติกับสถาบันทางการเงิน เนื่องจากวิธีการดังกล่าวธนาคารจะพิจารณาให้ทำเฉพาะลูกค้าที่มีปัญหาด้านการเงินอย่างแท้จริง ไม่สามารถจ่ายเงินชำระหนี้เป็นงวดได้ตามปกติและส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้สิน
- การขอสินเชื่อใหม่ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นกับธนาคารเดิมหรือธนาคารใหม่จะทำได้ยากมากขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากเราเคยมีประวัติการค้างชำระหนี้นั่นเอง
ข้อดี-ข้อเสียในการทำแฮร์คัทหนี้ สำหรับธนาคาร
ข้อดี
- เป็นการช่วยเหลือให้ลูกหนี้สามารถผ่านพ้นวิกฤตทางการเงินไปได้ สามารถปลดหนี้ได้ ไม่ลุกลามจนทำให้เกิดภาวะหนี้เสียตามมา
- ธนาคารไม่จำเป็นต้องสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ทำให้ธนาคารมีเงินหมุนเวียนในการบริการกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เคยได้เข้ารับบริการทางการเงินหรือไม่สามารถเข้าถึงบริการได้
ข้อเสีย
- ธนาคารจะได้รับชำระเงินคืนไม่เต็มจำนวน ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยหรือเงินต้นก็ตามแล้วแต่ที่มีการตกลงกัน
- การพิจารณาสินเชื่อกับลูกค้ารายใหม่จะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม
สรุปแล้วอยากทำแฮร์คัทหนี้ เริ่มยังไงสามารถทำได้ด้วยการเข้าไปเจรจาพูดคุยกับทางเจ้าหนี้หรือธนาคาร วิธีการดังกล่าวนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรามีปัญหาทางการเงินอย่างแท้จริงและธนาคารตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ว่าเรามีปัญหาจนไม่สามารถชำระหนี้สินตามปกติได้หรือไม่ ในขณะเดียวกัน การทำแฮร์คัทหนร้ อาจทำให้เราขาดสภาพคล่องได้ เพราะนำเอาเงินไปชำระหนี้ทั้งหมดเพื่อเป็นการล้างกระดาน นอกจากนี้ มันยังทำให้คุณเสียประวัติการเป็นลูกหนี้ชั้นดีกับทางสถาบันทางการเงินอีกด้วย ดังนั้น ก่อนจะทำการแฮร์คัทหนี้ แนะนำให้ชั่งน้ำหนักให้ดีเสียก่อนว่าจะเกิดข้อดีหรือข้อเสียต่อตัวเรามากกว่ากัน