ทรัมป์ เคาะเก็บภาษีไทย 19% มีผลแล้ววันนี้ กระทบส่งออกไทยแค่ไหน
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกาได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยอัตรา 19% อย่างเป็นทางการ (จากเดิม 36%) พร้อมมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ส.ค. 2025 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า และส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ซึ่งทางทรัมป์ระบุว่าเป็นหนึ่งในนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจจากช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา
ทำไมสหรัฐฯ ถึงเก็บภาษีสินค้าจากไทยเพิ่ม?
การตัดสินใจเก็บภาษีไทยครั้งนี้ มีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลทรัมป์เห็นว่าประเทศไทยมีดุลการค้าระหว่างประเทศที่ได้เปรียบสหรัฐฯ ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีข้อกังวลด้านสิทธิแรงงาน และมาตรฐานแรงงาน ซึ่งเคยเป็นประเด็นเมื่อปี 2563 ที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้า GSP
แม้ไทยจะมีการปรับปรุงนโยบายแรงงานอย่างต่อเนื่อง แต่ฝั่งสหรัฐฯ มองว่ายังไม่เพียงพอ จึงนำมาสู่การเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ในอัตรา 19% ที่เท่ากับเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งครอบคลุมหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะประเภทอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเครื่องจักร และสินค้าการเกษตรบางประเภท
ทั้งนี้การปรับลดอัตราภาษีจาก 36% มาเป็น 19% ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อต่อรองต่าง ๆ ทางเทคนิคออกมาให้ได้ทราบกันอย่างเป็นทางการ
อ้างอิง: https://www.whitehouse.gov/presidential-actions/2025/07/further-modifying-the-reciprocal-tariff-rates/
สินค้าไทยที่ได้รับผลกระทบ
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจร ไมโครชิป
- เครื่องจักร และอุปกรณ์ประกอบ
- ผลิตภัณฑ์ยาง และพลาสติก
- สินค้าเกษตรบางประเภท เช่น ผลไม้แปรรูป กาแฟ
ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จำเป็นต้องรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทันที 19% ซึ่งอาจทำให้เสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าอื่น
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
แม้ว่าการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าในครั้งนี้ จะกระทบสินค้าเพียงบางกลุ่มเท่านั้น แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้ภาคส่งออกประเทศไทยได้ในระยะยาว
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหลายรายยังแนะให้ไทยเร่งลงทุนในเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าสินค้าเพื่อรองรับต้นทุนที่สูงขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
นโยบายเก็บภาษีนำเข้าใหม่นี้ของทรัมป์ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าความสัมพันธ์ทางการค้าในยุคเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจกลับมามีความผันผวนอีกครั้ง ผู้ประกอบการไทยควรจับตาอย่างใกล้ชิด พร้อมหาทางกระจายตลาด และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์