ตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ในโรงเรียนเราต่างก็ต้องเรียนหนังสือกันอย่างน้อย ๆ ก็วันละ 8 คาบ ตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเข้าเรียนกันตั้งแต่ 8 โมง เรียน ๆ เล่น ๆ กว่าจะเลิกเรียนก็ราว ๆ สี่โมงครึ่ง ซึ่งถ้าจะว่ากันไปเราเรียนกันหลายวิชานะคะ ทั้งภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ, ประวัติศาสตร์, สังคม, กีฬา, ดนตรี, วิทยาศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ แต่ในเรื่องของการออมเงิน, การใช้เงินให้เป็น หรือ วิธีคิดเพิ่มมูลค่าของเงินนั้น เรากลับไม่ค่อยได้เรียนรู้กันจากในโรงเรียน
แล้วก็มีคนอยู่จำนวนไม่น้อยเลยหล่ะค่ะ ที่กว่าจะได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของเงินก็เมื่อเขามีหนี้ก้อนโตต้องรับผิดชอบ มารู้ดีสุด ๆ ก็เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน หากเราจะมัวไปหาเหตุผลว่าเพราะอะไร หรือ จะโบยไปที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เราต่างมีส่วนร่วมค่ะ ไม่ว่าจะครอบครัวที่ไม่ค่อยได้พาเด็กเล็ก ๆ ไปฝึกฝนเรื่องการออมเงิน หรือ ให้เด็กรู้จักหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้เอง หรือ แม้แต่ละครต่าง ๆ ที่นำเสนอก็ไม่ค่อยเน้นเรื่องการหาเงิน ตรงกันข้าม เรามักจะเห็นแต่รถแพง ๆ, ร้านอาหารสวย ๆ บนยอดตึก, ช้อปปิ้งตามห้างฯ ดัง และ ไม่เห็นตัวเอกของเรื่องทำงานจริง ๆ จัง ๆ ค่ะ บวกกับคนไทยไม่ค่อยนิยมอ่านหนังสือกันมากนัก ทำให้เราอาจจะขาดแหล่งความรู้ที่ดี ๆ ไปด้วยค่ะ ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าบรรดามาหาเศรษฐีระดับโลกเขามี มุมมองเรื่องการเงินกันอย่างไรกันบ้างค่ะ
ลองจินตนาการดูสิคะว่าถ้าวันนี้คุณได้รางวัลใหญ่และรวยเป็นเศรษฐีมีเงินก้อน 36 บ้านอยู่ในมือ คุณจะทำอย่างไรกันดีคะ หลาย ๆ คนอาจจะยกมือบอกว่าจะซื้อบ้านหลังใหม่ขนาดใหญ่ ๆ มีพื้นที่กว้าง ๆ มีสระว่ายน้ำ เป็นแบบบ้านในฝันของคุณ ซึ่งก็คงไม่ต่างไปจากคนส่วนใหญ่นักหรอกค่ะ แต่คุณ ๆ รู้หรือเปล่าว่า หนึ่งในเคล็ดลับความรวยของบรรดามาหาเศรษฐีระดับโลกนั้นก็คือ การอยู่อย่างพอเพียง หรือ พักอาศัยในบ้านธรรมด๊า ธรรมดา ค่ะ อย่างเช่น คาลอส สลิม เฮลู (Carlos Slim) มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขามีทรัพย์สินเป็นหลักพัน ๆ ล้านนะคะ สามารถซื้อคฤหาสน์หรู ๆ อยู่ได้อย่างสบาย ๆ ในราคาร้อยล้านบาทนั้น จัดว่าน้ำจิ้มมาก ๆ ค่ะ แต่ปัจจุบันนี้ คุณคาลอสยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเก่าของเขาที่อยู่มานานกว่า 40 ปี และเขาก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องอยู่บ้านหรู ๆ เลยสักนิดด้วยค่ะ
ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมนะคะ ถ้าคุณได้รางวัลเงินสดก้อนโต คุณ ๆ บางคนอาจจะตอบว่า อยากจะออกรถใหม่ หรือถอยรถสปอร์ตหรู ๆ แบบในฝันมาขับอวดเพื่อนและโชว์สาว ๆ ให้ชื่นใจสักหน่อยหล่ะก็ คุณ ๆ ทราบกันบ้างมั๊ยว่า มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง จอห์น คูดเวล (John Caudwell) เจ้าของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และ คุณชัค ฟรีนีย์ (Chuck Feeney) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ Duty Free ทั้งคู่ยังคงเลือกที่จะปั่นจักรยานไปทำงาน หรือ ไม่ก็เลือกที่จะเดิน หรือ นั่งรถสาธารณะมากกว่าที่จะขับรถไปไหนต่อไหนเองค่ะ ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะวัดจากระดับรายได้ที่พวกเขามีหล่ะก็ อย่าว่าแต่ซื้อรถหรู ๆ สักคันเลยค่ะ ซื้อเครื่องบินส่วนตัวก็ยังได้สบาย ๆ ค่ะ แต่เขาทั้งคู่ก็ยังเลือกที่จะประหยัดเงินและไม่ใช้จ่ายเงินไปกับของฟุ่มเฟือยที่มีแต่จะลดมูลค่าลงไปเรื่อย ๆ อย่างรถยนต์ นะคะ หรือถ้าขับรถของตัวเองอย่าง จิม วอลตัน (Jim Walton) เจ้าของห้างชื่อดังอย่าง Walmart ก็ยังคงเลือกขับรถยนต์ของตัวเองไปไหนต่อไหน แม้ว่ารถคันนั้นของเขาคือรถกระบะที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 15 ปีแล้วค่ะ และเขาก็ยังคงจะใช้รถกระบะคันนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยนะคะ แล้วก็ยังมี อซิม พรีมิจ (Azim Premji) มหาเศรษฐีชาวอินเดียก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยังคงใช้รถเก่าของเขาเหมือนเดิม แม้ว่ารถคันนี้จะใช้มานานถึง 10 ปีแล้วก็ตามค่ะ
นอกจาก มุมมองคนรวย ด้านการลงทุนในที่อยู่อาศัยและการใช้รถยนต์แล้ว คนรวย ๆ หลาย ๆ คนยังไม่ยินดียินร้ายกับการสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดัง ๆ หรือ ใส่สูทหรูคัทติ้งเริ่ด ๆ เลยด้วยนะคะ ในทางตรงกันข้ามเขากลับมองว่าการแต่งตัวควรเลือกแบบที่สวมใส่สบายและเหมาะกับตัวเราก็พอ จึงไม่แปลกเลยที่คุณ ๆ มักจะเห็น มหาเศรษฐีคนดังอย่าง เดวิด เชอริตัน (David Cheriton) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯที่ใคร ๆ ก็อยากร่วมงานด้วยอย่าง Google ที่มักจะชอบใส่เสื้อยืดคู่กับกางเกงยีนส์ตัวโปรดธรรมดา ๆ ค่ะ หรือแม้แต่ สตีฟ จ๊อป เองก็เลือกที่จะใส่เสื้อยืดแบบที่เขาชอบ โดยให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า เขาไม่ต้องเสียเวลามาคิดในทุก ๆ เช้าว่าจะใส่อะไรดี เขาเอาเวลาส่วนนั้นไปคิดว่าจะลงทุนอะไรเพิ่มดีกว่า อึ้งไปเลยใช่มั๊ยกับมุมมองเรื่องการแต่งตัว หรือ แฟชั่นเสื้อผ้าของหนุ่ม ๆ เศรษฐีเขาค่ะ
เมื่อคุณ ๆ ได้เรียนรู้แนวคิดเรื่องการใช้เงินจากคนรวยระดับโลกแล้ว นึกย้อนมองตัวเองกันอีกครั้งว่าวันนี้ ตอนนี้ เรามีเงินเก็บกันเท่าไร และ เราใช้จ่ายเงินของเราอย่างไร ลองเดินตามรอย มุมมองคนรวย ดูบ้างมั๊ยเผื่อว่าเรา ๆ จะได้มีเงินเหลือเก็บกันมากขึ้นค่ะ