มีแนวคิดที่กล่าวถึงประโยชน์ของ การใช้เงิน เพื่อให้มีโอกาสได้เงินมามากขึ้น ซึ่งอาจจะขัดกับหลักสามัญสำนึกทั่วไปที่คิดว่าจะต้องเก็บหรือออมเงินให้มากขึ้นต่างหากเพื่อให้มีเงินมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ผิดนักเพราะว่าการออมเป็นหัวใจของการรักษาและสร้างทรัพย์สินที่ดีมากหนทางหนึ่ง แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องมีการใช้เงินเพื่อสร้างเสริมโอกาสและความสามารถในการหาเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย เหมือนคติสำนวนที่ว่า โนเพน โนเกน (No pain, no gain) สำหรับในที่นี้ก็คือต้องมีการจ่ายเงินไปเพื่อให้ได้เงินมา
ซึ่งในบทความนี้มี 4 วิธีที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เป็นแนวคิดของการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เปรียบเหมือนการพัฒนาทั้งสติปัญญา บุคลิกภาพและจิตใจ ด้วยการส่งเสริมในทุก ๆ ด้าน คนเราก็จะมีความพร้อมและโอกาสที่จะสร้างรายได้ที่มากกว่าเดิมได้
1. การสัมมนาหาความรู้
การสัมมนาเป็นขั้นตอนการเรียนลัดที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะว่ามีบรรยากาศของการเรียนรู้จากวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ในการโน้มน้าวจิตใจและสร้างความรู้อย่างเป็นระบบ การสัมมนาจะเป็นคอร์สสั้น ๆ ที่นำแก่นสารมาตีแผ่ให้เกิดความเข้าใจ และอาจจะมีการลงมือปฏิบัติไปด้วย เนื้อหาของการสัมมนานั้นมีมากมายหลายด้าน แล้วแต่ว่าผู้เข้าสัมมนาอยากจะเสริมความรู้ประสบการณ์ด้านใด การใช้จ่ายเงินเพื่อการสัมมนานับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แต่อย่างไรก็ตามมีข้อควรพึงระวังก็คือ การไม่หลงเชื่อผลของการสัมมนามากเกินควร เช่น การสัมมนาที่มีการชวนเชื่อว่าจะให้เคล็ดลับการสร้างเงินแสนเงินล้าน หรือการสัมมนาที่เป็นเพียงฉากหน้าแต่เบื้องหลังสัมมนามีการหว่านล้อมให้สมัครสมาชิกแบบเสียเงินเป็นหมื่น ๆ หรือต้องลงสัมมนารอบต่อไปในราคาที่แพงกว่าเดิมเพื่อจะได้เคล็ดลับที่เหนือกว่าคนอื่น กฎที่ดีก็คือดูประวัติของวิทยากรเป็นสำคัญ ชื่อเสียงของผู้จัดและจุดประสงค์ของการสัมมนา ไม่ว่าคุณอยากจะลงทุนด้านใด ในหุ้นหรือตราสารหนี้หรืออสังหาริมทรัพย์ แม้กระทั่งการสัมมนาด้านแนวคิด ทัศนคติของการพัฒนาตนเอง ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ คุณควรแบ่งสรรเงินรายได้ส่วนหนึ่งไว้เข้าอบรมสัมมนาตามโอกาส เพื่อพัฒนาความรู้ในวิชาชีพและความรู้ด้านอื่นที่สนใจให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นทรัพยากรด้านความรู้ที่จะสะสมอยู่ในตัวของคุณเอง ช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความสามารถในการตัดสินใจด้านต่าง ๆ ในการทำงาน
2. การเข้าคอร์สสร้างเสริมบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพมีส่วนสำคัญในการทำงานอย่างยิ่ง หลายกรณีมีผลต่อการตัดสินใจร่วมธุรกิจกัน ตั้งแต่พนักงานขายไปถึงผู้บริหาร ควรจะมีความรู้ด้านการปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวด แต่เป็นการพัฒนาตนเองในการลดจุดด้อยและสร้างเสริมจุดเด่น การปรับปรุงท่วงท่าการเดิน การยืน การนั่ง การสนทนา รวมไปถึงการเลือกใช้เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น เพราะว่าเมื่อคนเรามีความมั่นใจในตนเองแล้วก็จะทำให้มั่นใจในการทำงานมากขึ้นด้วย ที่สำคัญคือการพบปะลูกค้าก็จะเป็นที่ประทับใจและน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้า ความประทับใจแรกเห็นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก บุคลิกและท่าทางภายนอกหรืออวัจนภาษาจึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับปรุงเพื่อให้เกิดผลดีต่อตัวคุณเองมากที่สุด นอกจากบุคลิกภาพส่วนตัวแล้วยังมีความรู้ด้านอื่น ๆ อีก เช่น มารยาทบนโต๊ะอาหาร วิธีการสนทนา การนำเสนองาน วิธีปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน เทคนิคการเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้นำจะต้องได้เรียนรู้เพื่อก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้น โอกาสของการได้งานจึงมีปัจจัยด้านบุคลิกภาพเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน การใช้เงินเพื่อเข้าคอร์สอบรมบุคลิกภาพจึงมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้
3. การสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานหรือชมรม
เป็นความจริงที่ว่าการสังสรรค์นั้นใช้เงินมากกว่ามื้ออาหารปกติ แต่ว่าการสังสรรค์นั้นเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้างได้อีกทางหนึ่ง มีคำแนะนำว่าในสัปดาห์หนึ่งคุณควรจะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานในสายอาชีพเดียวกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และควรสัมมนากับเพื่อน ๆ กลุ่มอื่นที่มีหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยหรือเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้คุณมีคอนเนคชั่นที่หลากหลายและได้ความรู้รอบตัวที่แทรกเข้ามาในระหว่างการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ ด้วย หลาย ๆ ครั้งธุรกิจก็เริ่มต้นจากไอเดียในการพูดคุยเหล่านี้หรือกลายเป็นได้หุ้นส่วนทางธุรกิจเพิ่มก็เป็นได้ การร่วมสังสรรค์ไม่ควรตั้งใจว่าจะหาผลประโยชน์จากคนอื่นหรือสร้างภาพให้กับตัวเองไม่อย่างนั้นแล้วจะขาดความเป็นธรรมชาติ ต้องมีความจริงใจและไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียนรู้ความคิดของผู้อื่นได้ สิ่งสำคัญก็คือต้องเปิดใจรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ และกล้าแสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างตรงไปตรงมาตามกาลเทศะ แม้ว่าการใช้เงินเพื่อการสังสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำแต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและมีวงเงินที่จำกัดไว้บ้าง อีกเรื่องก็คือต้องระวังเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะว่าไม่เกิดประโยชน์ ทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้และถ้าต้องขับรถแล้วยิ่งต้องงดเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัย มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องไปสังสรรค์เสียเลยจะดีกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของตน
4. การบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิ ศาสนา และสังคม
การที่คนเราจะยอมสละเงินส่วนหนึ่งของตัวเองเพื่อให้ทาน หรือบริจาคบำรุงศาสนานั้นเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่าสามารถบริหารเงินเป็น และมีเงินที่จัดไว้เฉพาะสำหรับการบริจาคกลับคืนสู่สังคม สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดถ้าเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ ก็จะมีกิจกรรมหรือการบริจาคเงินจำนวนมากกลับคืนสู่สังคม ผลดีที่เห็นได้ทันทีถ้าเป็นระดับองค์กรก็คือมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นและได้รับความชื่นชมจากผู้คนทั่วไป ส่งผลด้านการตลาดได้ทางอ้อม แต่ถ้าเป็นระดับบุคคล การบริจาคจะช่วยให้จิตใจมีระดับที่สูงขึ้นคือมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ลดความตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักคุณค่าของเงินที่มอบให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ แม้เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยากแต่ก็เห็นได้ว่ามหาเศรษฐีของโลกต่างก็เป็นนักบริจาครายใหญ่ ยิ่งบริจาคไปเท่าไหร่ก็เหมือนเงินไม่ได้ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้ามกลับหาเงินได้มากขึ้นไปอีก ธุรกิจก็ยิ่งเติบโตขึ้น เราคนธรรมดาคงไม่ต้องบริจาคให้เท่าเทียมเขาเหล่านั้น แต่ควรบริจาคตามกำลังที่มี จึงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน
การใช้เงินอย่างฉลาดเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่มีความสามารถบริหารการเงินได้ ผลของการใช้จ่ายเงินตามคำแนะนำข้างต้นจะย้อนกลับคืนมาในรูปขององค์ความรู้และความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง คำถามที่ดีที่ควรถามตนเองในการใช้เงินทุกครั้งก็คือ สิ่งที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเงินออกไปนั้นเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้าสิ่งนั้นทำให้มีความรอบรู้มากขึ้น เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างความสัมพันธ์ในองค์กรและเพื่อน ๆ ได้ดีมากขึ้น ก็คุ้มค่าที่จะใช้จ่ายเงินก้อนนั้นออกไป