ตั้งแต่มีนโยบายเด็กจบใหม่ให้ขั้นต่ำ เงินเดือนหมื่นห้า หลายคนก็ร้องโอ้โห แต่เป็นในเชิงโอดครวญเสียมากกว่า จริงอยู่ที่ว่า เงินเดือนหมื่นห้า นั้น จะมีจำนวนมากพอตัว ถ้าเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจในปัจจุบัน มันกลับน้อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับค่าครองชีพประจำวัน ยิ่งต้องมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง แทบจะชัดหน้าไม่ถึงหลัง ต้องใช้เงินเดือนชนเดือนเลยทีเดียว วันนี้เราจึงมีวิธีบริหารจัดการกับเงินเดือนหมื่นห้าให้สามารถใช้ได้อย่างสบายๆ แถมมีเงินเก็บ มีเงินส่งให้พ่อกับแม่อีกด้วย!
เด็กจบใหม่หลายคน ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อยเลย กับการบริหารจัดการเงินเดือนของตนเองให้พอใช้ในแต่ละเดือน หลายคนถึงกับโอดครวญว่าชีวิตการเรียนแบบขอเงินพ่อแม่นี่เป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้ว การทำงานช่างโหดร้าย ค่าเทอมหลายหมื่นแต่จบมาเงินเดือนหมื่นห้า ช่างน่าอดสูเสียจริง แต่ถึงอย่างไรเราก็จะต้องโตขึ้น คงจะขอเงินพ่อแม่ใช้ไปตลอดชีวิตก็จะกลายเป็นลูกไม่เอาไหนไป วิธีการรับมือกับ เงินเดือนหมื่นห้า อันแสนล้ำค่าของเรานั้น ต้องเริ่มจัดการแบ่งสัดส่วนการใช้เงินกันก่อน
เงินเดือน 15000 ควรแบ่งออกเป็นค่าเช่าหอ ไม่ควรเกิน 4000 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว (ในกรณีเด็กต่างจังหวัด หาหอให้ใกล้กับบริษัทที่สุดเพื่อประหยัดค่าเดินทาง) ส่งให้พ่อกับแม่ 3000 (อาจจะน้อยไปเสียหน่อย แตถ้าหน้าที่การงานขยับขยายก็ค่อยเพิ่มขึ้น) ค่ากิน ไม่ควรเกิน 150 บาทต่อวัน 1 เดือนก็ประมาณ 4500 บาท ค่ารถ ตีไปสัก 40 บาท 1 เดือนก็ประมาณ 1200 ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นก็หมดแล้ว ตอนนี้รวมเป็นเงิน 12700 บาท เรายังเหลือเงินอีกตั้ง 2300 บาท ก็ยังสามารถนำไปฝากเข้าบัญชีเป็นเงินออม หรือใช้จ่ายในส่วนที่อยากใช้ได้
หากบางคนที่ไม่ได้อยู่หอ แต่ไปกลับบ้านนี่ยิ่งสบายไปใหญ่ เราก็จะประหยัดเงินได้หลายบาทเลย เอาเงินส่วนนั้นไปเข้าบัญชี โดยสมัครเป็นบัญชีสะสมทรัพย์ ฝากอย่างเดียวถอนไม่ได้ เราก็จะได้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มเงินในส่วนที่ให้พ่อกับแม่ได้อีกด้วย
หลายคนถามว่า ไม่อึดอัดหรือที่ต้องบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายเช่นนี้ เชื่อเลยว่า ไม่มีใครที่อยากใช้ชีวิตเช่นนี้ แต่ในเมื่อทางเลือกของแต่ละคนมีได้ไม่เท่ากัน เราก็จะต้องหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ แม้คนที่ได้เงินเดือนมากกว่านี้ก็ยังต้องประหยัด นับประสาอะไรกับเราที่เป็นเด็กจบใหม่ ประสบการณ์ก็ไม่มี การเรียนรู้จะทำให้เราค่อยๆ โตขึ้น และกลายเป็นคนที่มีระเบียบและรู้จักคุณค่าของเงินมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ การจะนำวิธีนี้ไปใช้ให้เกิดผล ต้องยึดหลักประหยัดเข้าไว้!! หลายคนอาจจะเคยได้เงินเดือนตอนเรียนเหยียบหมื่น หากเด็กที่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะได้เยอะกว่านั้น เพราะต้องมาอยู่หอ ไหนจะค่าหอ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินประจำวัน จิปาถะไปเสียหมด แต่พอมาทำงานเราจะมาใช้เสียสุรุยสุร่ายไม่ได้อีกต่อไป บางคนอาจจะเคยกินอาหารนอกบ้านบ่อยๆ มื้อนึงตก 3-4 ร้อยบาท แต่พอเรามาทำงานแล้ว การกินอาหารแบบนี้คงต้องเก็บเอาไว้สร้างความสุขให้กับตัวเองในแต่ละเดือนก็พอ! ใครเคยชื่นชอบการกินกาแฟหรือขนมจากร้านชื่อดัง ก็ต้องเพลาลงบ้าง ไม่งั้นก็เปลืองแย่! แต่ดีกับตัวเองด้วยนะจะได้ไม่อ้วนไง!
บางคนอาจจะเคยเสียเงินไปกับการเที่ยวเตร่ กับเพื่อนๆ ตามสถานบันเทิงต่างๆ ในจุดนี้ถ้าใครเป็นเด็กมหาลัยทุกคนจะเข้าใจดีว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราจะมีสังสม และต้องสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ยิ่งเวลาทำงานก็จะมีความเครียดสะสม การได้ไปผ่อนคลายกับเพื่อนฝูงก็นับว่าเป็นทางออกที่ไม่เลว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรไปบ่อย ขึ้นชื่อว่าสถานบันเทิงอาหารเครื่องเดิมย่อมแพงกว่าร้านอาหารปกติอยู่แล้ว เดือนๆ นึงก็ไม่ควรไปบ่อย ควรไปแค่ตอนที่อยากหาที่ผ่อนคลายหรือระบายความเครียดบ้าง หรือไม่ก็อาจจะไปที่อื่นที่ไม่ต้องเสียตังค์ อย่างการไปออกกำลังสวนสาธารณะใกล้ที่พัก ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง แถมยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ขจัดความเครียดจากการทำงานได้
ในช่วงแรกๆ อาจจะต้องปรับตัวกันเสียหน่อย แต่เชื่อถือว่าทุกคนสามารถทำได้ มันจะค่อยๆ ปรับตัวได้เอง ที่สำคัญเราควรมองโลกในแง่ดี ใครที่กำลังท้อแท้กับเงินเดือนที่ไม่ได้มากอย่างที่ตนคาดหวัง แต่ก็ต้องเข้าใจความเสี่ยงของบริษัทที่รับเราเข้าทำงานด้วย เพราะเขาก็ไม่ทราบได้ว่าเรามีศักยภาพในการทำงานมากน้อยเพียง หากเราตั้งใจทำงาน แสดงออกถึงความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ เราอาจจะได้เงินเดินเพิ่มในเร็ววัน
วัตถุดิบสำคัญสำหรับการใช้วิธีนี้ คือ ใจของเราเอง เราจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เปิดใจกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ มองหาสิ่งที่ดีๆ ในเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนมันดีกับตัวเราเอง เป็นการก้าวผ่านช่วงหนึ่งของชีวิต ประโยชน์จากการที่เราเงินเดือนน้อย ทำให้เราเห็นคุณค่าของเงินมากขึ้น รู้จักใช้เงินอย่างรอบครอบ เชื่อเถอะว่าใครรู้จักบริหารจัดการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการการเงินในอนาคตอย่างมากอีกด้วย