เพียงแค่เวลา 2 ปีหลังจาก LINE เปิดตัวขึ้นมาบนโลกแชทออนไลน์ ก็สามารถสร้างรายได้มหาศาลถึง 505.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 16,186 ล้านบาทเฉือนชนะคู่แข่งอย่าง Whatsapp ของสหรัฐอเมริกาที่กวาดรายได้ไปได้ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 640 ล้านบาท ในขณะที่ WeChat ของพี่จีนนั้นระบุเพียงว่าทำรายได้ประมาณ 32 – 48 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 1,024 – 1,536 ล้านบาท
จุดเด่นที่ทำให้ Application LINE แตกต่างไปจากคู่แข่งในสนามด้าน Instant Messenger อย่าง Whatsapp และ WeChat แบบที่เห็นกันชัด ๆ ก็น่าจะเป็นฟีคเจอร์โดน ๆ ที่ตอบโจทย์และสร้างรูปแบบใหม่ให้กับการสื่อสารบนโลกสังคมออนไลน์ก็คือ การส่งได้ทั้งข้อความ, วีดีโอ, เสียง และ บริการ LINE Call ที่ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ แต่ก็สามารถพูดคุยกันได้แม้จะอยู่ที่ต่างประเทศก็ตาม แต่ที่ทำให้เจิดจรัสดับดาวคู่แข่งดวงอื่น ๆ เลยก็คือ การส่งสติ๊กเกอร์ที่ทำให้การสนทนาของผู้ใช้บริการมีความสนุกและสื่ออารมณ์ได้มากขึ้น แม้ว่าครั้งหนึ่ง LINE เคยเจอกับโจทย์ยากเมื่อลงตลาดที่ประเทศบราซิลแต่ผู้ใช้บริการกลับไม่ตอบสนองสติ๊กเกอร์มูนและพ้องเพื่อนมากนัก ทำให้ LINE ต้องกลับมาปรับกลยุทธ์เคาะประตูบราซิลกันใหม่ด้วยการเอารอยยิ้มออก และเพิ่มส่วนลำตัวเข้าไป จากนั้นก็เติมคำแสลงท้องถิ่นลงไปในการสนทนาอีกนิด เพียงเท่านี้ LINE ก็เข้าไปนอนกินลมเพลิน ๆ ในใจชาวบราซิลไปอีกหนึ่งตลาด นับเป็นกลยุทธ์ด้าน Localization ที่เจาะตลาดแต่ละจุดได้อยู่หมัดจริง ๆ
หากจะพูดถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของ LINE นั้น ทำให้นักการตลาดทึ่งและอึ้งมากขนาดไหน ก็ต้องขอเปรียบเทียบให้เห็นก้าวแต่ละขั้นของ LINE กับเจ้าพ่อโลกโซเชียลที่ชื่อ Facebook และ Twitter กันสักหน่อย เมื่อแรกเริ่มตอนที่ทั้ง 2 สื่อนี้เปิดตัวขึ้นมา ก็สามารถคว้าสมาชิกเข้าไปนอนกอดด้วยยอดประมาณ 50 ล้านคนภายในระยะเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นเรื่องอเมซิ่งมาก ๆ เพราะสื่ออื่น ๆ เขาต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปีถึงจะสร้างเครือข่ายได้เท่านี้
และพอ LINE เฉิดฉายออกมาในตลาดก็กลับสร้างปรากฎการณ์ที่เหนือกว่าเจ้าพ่อโซเชียลทั้งสอง ด้วยยอดผู้ใช้งาน 50 ล้านภายในเวลาแค่ 1 ปีกับ 34 วัน เร็วกว่าทั้ง Facebook และ Twitter ที่ใช้เวลา 3 ปีค่ะ ความสำเร็จจัดหนักแบบอะเมซิ่งหิ่งห้อยครั้งนั้น ทำให้ LINE กลายเป็นสื่อที่มีสมาชิกเติบโตรวดเร็วที่สุดก็น่าจะใช่ค่ะ
นอกจากนี้หากจะเทียบกันหมัดต่อหมัดระหว่าง LINE โปรแกรมแชทขวัญใจมหาชน กับ Facebook โลกทั้งใบให้โซเชียลตลอดเลยนั้น ก็จัดว่าแตกต่างกันพอสมควร เพราะการใช้ Facebook คือการเปิดโลกที่ทำให้เราสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ และแชร์เรื่องของตัวเองผ่านช่องทางมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อรูปภาพ, วีดีโอ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คนส่วนใหญ่พูดถึงอยู่ในขณะนั้น แค่กดคลิ๊กแชร์ หรือ Like ก็กระจายในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และทีเด็ดก็คือคนส่วนใหญ่ใช้เวลาส่วนมากในการเล่น Facebook มากกว่า ในทางตรงกันข้าม Line จะเน้นไปที่เรื่องของการ instant chat มากกว่า ไม่ว่าจะแบบคุยเดี่ยวตัวต่อตัว หรือ เม้าส์มันส์แบบกลุ่มแก็งค์ Line ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดี แม้ว่า Line จะได้ลองเพิ่มฟีคเจอร์ Timeline ขึ้นมาเอาใจชาวโซเชียลบ้างแล้ว แต่กระแสก็ยังไม่โดนเหมือนการเล่น Facebook ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับ Facebook Messenger ที่ถึงจะมีการปรับโฉมไปบ้าง แต่ลูกเล่นก็ยังไม่เด็ดดวงเท่า LINE สองเสือคู่นี้จึงยังถือไพ่ชั้นเชิงที่มีดีคนละด้านอยู่ค่ะ
แต่สำหรับกลยุทธ์ที่ทำให้ LINE สดใส ซาบซ่า นั้นเห็นจะเป็นเรื่องกลยุทธ์สร้างรายได้ Profit Strategy ที่เจาะกลุ่มธุรกิจแบรนด์สินค้าให้มาร่วมทำการตลาดผ่าน LINE ได้ 2 ทาง คือ LINE Official Account และ Line Sponsored Sticker ที่สาวก LINE ชาวไทยน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ซึ่งการทำการตลาดผ่าน LINE นั้นราคาจัดว่าสูงมากสำหรับการเปิดตัวครั้งแรก โดยค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 4 – 5 ล้านบาท สำหรับ Line Sponsored Sticker 1 ครั้ง และ Official Account 12 เดือน ในขณะที่ถ้าทำการตลาดผ่าน Facebook Brand Page ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนตกราว ๆ เดือนละ 40,000 – 80,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและความซับซ้อนของแต่ละแบรนด์ ทีนี้เรามาลองตีโจทย์ลงทุนการตลาดออนไลน์สักนิดว่า ถ้าต้องจ่าย 5 ล้านบาทสำหรับ LINE Marketing แลกกับยอดคนติดตาม Follower ที่ 2 ล้านคน เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของการบินไทยและซีพีนะคะ ก็จะเท่ากับว่าราคาที่จ่ายต่อ 1 Follower เท่ากับเงินแค่ 2.5 บาทเท่านั้น ในขณะที่การทำการตลาดใน Facebook ยังจะต้องจ่ายค่าบริการดูแล Fan Page และต้องหมั่นสร้างแคมเปญเพื่อเรียกยอด Like แล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายออนไลน์มีเดียเพื่อทำโปรโมทให้ตลอดปีอีก ที่สำคัญก็คือ ในประเทศไทยเรานั้น ยังไม่มี Fan Page ไหนที่สร้างยอด Like ได้มากถึง 1 ล้านได้ภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งถ้าจะพูดกันตามตรงก็น่าจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 – 3 ปีด้วยซ้ำ เจอหมัดนี้เข้าไปใคร ๆ ก็เลือกทำการตลาดผ่าน LINE Marketing กันทั้งนั้น คุ้มทั้งราคาและเวลาค่ะ พูดเลย
ที่มารูป : e27.co