ช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมาบ้านเราหรือในประเทศไทยมีกองทุนรวมเกิดใหม่ที่ชื่อว่า กองทุนรวม ETF มีชื่อเต็มว่า Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ก่อกำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อเกือบ 40 น่าจะได้เพราะกองทุน ETF กองแรกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณยุค 80’s แต่ของประเทศไทยเปิดตัวกองทุน ETF กองแรกเมื่อประมาณปี 2550 เห็นจะได้ แต่ก่อนที่จะเริ่มลงทุนในกองทุนรวม ETF เรามาทำความรู้จักกับกองทุนนี้กันก่อนดีกว่า
กองทุนรวม ETF
เป็นนวัตกรรมทางการเงินลูกผสมที่รวบรวมความโดดเด่นของกองทุนรวมและหุ้นเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเหมือนการลงทุนผ่านกองทุน เช่น การลงทุนหุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน และยังสามารถซื้อขายรายวันได้เหมือนกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกด้วย
อย่างที่เห็นชื่อว่าเป็นกองทุนรวม เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ผลิตนวัตกรรมทางการเงินชิ้นนี้ออกมาจำหน่ายก็คือ บริษัทจัดการกองทุน หรือ บลจ.นั่นเอง โดย บลจ.จะทำการคิดค้น ออกแบบ และกำหนดนโยบายการลงทุนว่ากองทุน ETF ที่ออกมานั้นจะไปลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง เช่น กองทุนรวม Gold ETF ก็จะนำเงินไปลงทุนในทองคำตามมาตรฐานของหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้อง หรือจะเป็นกองทุนรวม Equity ETF ที่บางครั้งชื่อก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ที่ บลจ.แต่ละแห่งจะตั้งชื่อกัน ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน SET50 หรือลงทุนในหุ้นแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มการเงิน เป็นต้น
แล้วถ้ากองทุนรวม ETF เป็นลูกผสมระหว่างกองทุนรวมและหุ้นแล้ว มีอะไรที่แตกต่างกันบ้างนะ…. เรามาดูกันเลยดีกว่า ถ้าเปรียบเทียบ ETF กับ กองทุนรวมแล้วล่ะก็ อันดับแรกเลย คือ ETF เป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายแบบ Real-time เหมือนหุ้น ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น ดังนั้นจึงทำให้เรารับรู้ต้นทุนและกำไรที่เราจะได้รับได้ทันที ไม่ต้องรอราคาปิด ณ สิ้นวันเหมือนกับการซื้อขายกองทุนรวม และถัดมา คือ เป็นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นเวลาทำการซื้อขาย เราจะต้องทำผ่านโบรกเกอร์แทนการซื้อขายผ่าน บลจ. และสุดท้ายคือ กองทุนรวม ETF มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุนต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่นๆ อีกด้วย
แต่ถ้าเปรียบเทียบกองทุนรวม ETF กับหุ้น ก็จะเห็นว่าถ้าเราลงทุนในหุ้นเองเราไม่สามารถกระจายความเสี่ยงในการถือได้ เพราะข้อจำกัดในเรื่องของเงินลงทุน อีกทั้งเรายังจะต้องมานั่งวิเคราะห์เองอีกว่าหุ้นตัวไหนจะดีมาก ดีน้อย เสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย แต่กองทุนรวม ETF นั้น จะมีผู้จัดการกองทุนมาวิเคราะห์และเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็นว่าให้ผลตอบแทนดี และยังสามารถเลือกลงทุนในหุ้นได้หลาย หลายตัวได้อีก
สรุปแล้วกองทุนรวม ETF เหมือนกับจะรวบรวมเอาข้อดีของกองทุนรวมและหุ้นมาไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งก็จะทำให้เราได้สิ่งดี ดีในการลงทุน นั่นก็คือ สะดวก ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นรายตัว ซื้อขายได้ราคา Real-time เหมือนหุ้น ปลอดภัย ไม่ต้องหาที่เก็บรักษาสินทรัพย์ (หากเราต้องการลงทุนในทองคำเป็นจำนวนมาก) ใช้เงินจำนวนนอยในการลงทุน สร้างพอร์ตการลงทุนได้ง่ายโดยการกระจายไปซื้อกองทุนอีทีเอฟกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ โปร่งใส ตรวจสอบนโยบายการลงทุน ผลการดำเนินงาน และการถือครองหลักทรัพยไดตลอดเวลา ได้รับผลตอบแทนง่ายทั้งจากเงินปันผล (ตามนโยบายของกองทุน)และส่วนต่างของราคาที่เปลี่ยนแปลง และข้อดีสุดท้ายคือ มีผู้จัดการกองทุนช่วยวิเคราะห์และดูแลการลงทุนให้เรา
แต่ กองทุนรวม ETF ก็ใช่ว่าจะดีไปหมดเสียทุกอย่าง เหรียญยังมี 2 ด้าน เพราะฉะนั้นการลงทุนในกองทุนรวมหรือการลงทุนทุกประเภทก็ย่อมมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้เช่นกัน ความเสี่ยงของกองทุนรวม ETF หรือข้อควรระวังที่นักลงทุนจะต้องคำนึงถึงก่อนที่จะลงทุนในกองทุน ETF ก็คือ กรณีที่สินทรัพย์ที่กองทุน ETF ใช้อ้างอิงเช่น ราคาทองคำ ดัชนี SET 50 มีการเปลี่ยนแปลง มูลค่าของกองทุนก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ถ้าหากเป็นไปในทางที่ดี่ก็จะเป็นผลดีต่อกองทุน แต่ถ้าลดลงก็จะทำให้มูลค่าของกองทุนลดลงเช่นกัน
สุดท้ายแล้ว กองทุนรวม ETF เหมาะกับเราหรือเปล่า ก็ลองสำรวจตัวเองดูนะว่า เราเป็นนักลงทุนที่ชอบลองของใหม่หรือเปล่า มีเวลาในการศึกษาหาข้อมูลของหุ้นแต่ละตัวน้อย ต้องการกระจายความเสี่ยง และต้องการสภาพคล่องสูง ซึ่งถ้าตอบว่าใช่ทั้งหมด กองทุนรวม ETF ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการลงทุนได้