วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งที่เคยประสบปัญหา เป็นหนี้ จนเกือบล้มละลาย เพราะหนี้กู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถ และ บัตรเครดิต วันนี้เลยอยากมาแชร์ให้ผู้อ่านเป็นอุทธาหรณ์ของความไม่แน่นอนในชิวิต และพลิกผันจนเกือบล้มละลาย
เริ่มจากเพื่อนคนนี้เคยทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งถือว่าเงินเดือนสูงพอสมควร รายรับรวมค่าคอมมิชชั่นรวมๆก็ 3-4 หมื่นบาทต่อเดือน มีบัตรเครดิตหลายใบ ก็หมุนใช้สลับจ่ายตอบรอบบัญชี มีผ่อนรถยนต์ 1 คัน และผ่อนบ้านทาวน์เฮ้าส์โครงการใหญ่แถวๆชานเมือง มีเงินเก็บบ้างแต่ไม่มากนัก เรื่องมันเกิดตอนนี้ต้องออกจากงานเพราะบริษัทลดจำนวนพนักงาน ต่ำแหน่งงานของเพื่อนมีพนักงานหลายคน คนที่ทำยอดขายไม่ได้มากนักก็โดนให้ออกซึ่งเพื่อนก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย หลังจากออกจากงานแน่นอนว่ารายได้หดหาย หางานใหม่ก็ยากเพราะงานที่รับสมัครเงินเดือนก็ไม่สูงนักประกอบกับตอนออกจากงานเพื่อนก็อายุเลข 3 กลางๆแล้วจะหางานเงินเดือนเท่าเดิมยิ่งหนักเข้าไปอีก เงินเก็บก็ต้องถูกนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆประจำวัน ไหนจะลูกไป รร. ค่ากิน ค่าใช้จ่าอื่นๆจิปาถะ สามีก็เลิกรากันไปก่อนตกงาน ความลำบากก็มาเยือน ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนบัตร เดือนๆหนึ่ง 2-3 หมื่นกับรายจ่ายทั้งหมด จดหมายทวงหนี้ก็เริ่มมาเพราะจ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง
เพื่อนก็ตัดสินใจลดหนี้บ้างส่วนโดยทำการขายรถ ได้เงินส่วนต่างไม่มากก็อาเงินมาผ่อนบ้าน จ่ายบัตร แต่ก็มีหลายใบทำให้ตัดสินใจยอมทิ้งหนี้ เหลือไว้เพียงใบเดียวที่ยอดน้อยที่สุด พร้อมๆกับการหางานทำ ได้อะไรก็ทำไปก่อนเงินเดือนก็ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายแต่ก็ต้องทน และ หางานใหม่ๆไปเรื่อย จนได้มาทำที่เดียวกันซึ่งใกล้บ้าน เงินเดือนพอไหว หักค่าใช้จ่ายยังมีเงินเหลือ เพื่อนบอกว่าก็ยังเป็นหนี้ผ่อนบ้านอยู่ แต่เงินเดือนขนาดนี้คงผ่อนไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจไม่ส่ง พนักงานธนาคารที่กู้สินเชื่อไว้ก็เริ่มตาม เพื่อนก็บอกไปตรงๆว่าผ่อนไม่ไหวแล้ว พนักงานก็ดีแสนดี บอกให้ประกาศขายให้ได้ก่อนมีหมายศาล มีจดหมายหรือบริษัททวงหนี้มาตามให้เพิกเฉยซะ เพราะไม่มีจ่ายจริงๆให้รอหมายศาลเถอะ เขาเห็นใจเพื่อนบอกความจริงทุกอย่างว่าตกงานเพิ่งได้งาน หนี้บัตรก็เยอะ ค้างค่าเทอมลูกอีก
เมื่อพนักงานแนะนำแบบนี้เพื่อนก็ทำตาม ทิ้งบัตรเหลือใบเดียวอย่างที่บอก อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด จ่ายชำระขั้นต่ำบัตรที่เหลือจนวงเงินสามารถกลับมาใช้ได้ บัตรอื่นๆก็ปล่อยรอหมายศาล บ้านก็ยังขายไม่ได้ ธนาคารก็โทรมาหาเรื่อยๆ ว่าตอนนี้ดำเนินการถึงขั้นไหนแล้ว จนสุดท้ายก็ต้องขนของออกจาบ้านที่ซื้อไว้ เพราะหมายศาลมาปิดหน้าบ้านโดนยึดไปตามระเบียบ ส่วนบัตรอื่นๆนั้นแต่ละบัตรยอดเงินเต็มวงเงินแต่ละใบก็หลายหมื่นอยู่ ก็รอหมายศาลเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้ก็ล่วงเลยมาประมาณ 2-3 ปีคดีก็ยังไม่จบ อันไหนเรียกไปศาลก็ไปตามนัด ทนายก็ไม่มี ก็ให้การตามความจริง ว่ามีภาระต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เงินเดือนตอนนี้ก็ไม่ถึงสองหมื่น มีแม่ต้องเลี้ยงดู ซึ่งศาลก็ให้ความเห็นใจ เจ้าหนี้ที่ส่งเรื่องไปศาลก็เรียกเก็บได้แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเพราะตามกฎหมายต้องให้จำเลยมีเงินเหลือเพียงพอกับการดำรงชีพ ซึ่งบางบัตรนั้นก็ชำระแค่เงินต้นอันไหนน้อยก็ส่งจนหมด อันไหนเยอะก็ต้องรอเพราะศาลให้หักที่ละราย รายอื่นก็ต้องรอขึ้นศาลกันใหม่ บ้านก็โดนขายทอดตลาด เพราะโครงการที่เพื่อนซื้อนั้นค่อนข้างดี ทำให้เมื่อโดยยึดประกาศขายจากธนาคารในราคาที่ไม่สูงทำให้ขายได้ไว จบเรื่องได้ไว
ส่วนหนี้อื่นเช่นค่าเทอมที่ค้างก็สามารถผ่อนจนหมดผ่อนชำระเกือบปี นี่คือตัวอย่างที่น่าสนใจของคนที่เป็นหนี้ เพื่อนบอกว่าตอนที่สบายเงินเดือนเยอะ ใช้จ่ายเกินตัวเหมือนกัน ด้วนสภาพสังคมที่ทำงาน ต้องตามเขา กินหรู ใช้หรู เที่ยวหรู และไม่คิดว่าจะมาเจอกับปัญหาแบบนี้ ทุกอย่างประดังเขามาพร้อมๆกัน ทั้งเลิกกับสามี เป็นหนี้บัตร ตอนนี้เลยทำให้ใช้ชีวิตระมัดระวังมากขึ้น อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ ไม่แพงก็ใช้ได้
อ่านแล้วก็ขอให้เป็นบทเรียน และ ไว้เตือนใจกันนะ ตอนมีต้องเก็บ บ้าง อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยกันเกินไป เพราะอะไรๆมันไม่แน่นอน ซึ่งเรื่องราวมันมีมากกว่านี้แต่ขอเล่าคราวๆเท่านี้เพราะไม่อยากลงลึกเกินไปมันเป็นเรื่องส่วนตัว เอาเท่าที่เล่าได้ เพื่อนบอกว่าถ้าไม่ได้พนักงานธนาคารแนะนำ ทุกวันนี้คงยังหากทางออกไม่ได้ อาจจะกลาย เป็นหนี้ เงินกู้นอกระบบไปอีก เพราะต้องหาเงินมาโปะหนี้ก้อนอื่นๆหมุนไปหมุนมา