จากกรณีข่าวที่มีออกมาว่า นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายให้ศึกษามาตรการที่จะช่วยผลักดันให้รถยนต์มือสองที่อยู่ในประเทศสามารถส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น เพราะขณะนี้ จำนวนรถยนต์มือสองที่ยังค้างในตลาดรถยนต์มีจำนวนมาก ซึ่งราคารถยนต์มือสองของไทยแพงกว่ารถยนต์มือสองจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือ จีน ทำให้รถยนต์มือสองของไทยไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเกิดจากราคารถยนต์รวมภาษีที่จัดเก็บจากการซื้อครั้งแรกแล้ว ทั้งภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต)
ดังนั้น หากจะส่งเสริมให้ส่งออกรถยนต์มือสอง จำเป็นต้อง คืนภาษีรถยนต์มือสอง ให้ผู้ส่งออก เพื่อลดราคารถยนต์ลง ในลักษณะเดียวกับรถใหม่ที่ในการส่งออกจะไม่เสียภาษี ทั้งนี้ในการศึกษาต้องดูว่า ราคาส่งออกรถยนต์ควรอยู่ในระดับใดเพื่อให้แข่งขันได้ ในการตัดภาษีส่งออกรถยนต์มือสองนั้น จะต้องมีสูตรในการคำนวณ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับอายุของรถยนต์ในแต่ละคันด้วย โดยผู้ส่งออกสามารถนำมายื่นขอเคลมคืนภาษีกับรัฐบาลได้จะพยายามสรุปให้ได้ภายในเดือนกันยายนนี้
งานนี้มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแน่นอน เพราะการเก็บภาษีคือรายได้หลักของประเทศตอนนี้ และ ผลกระทบเรื่องการส่งออกรถยนต์ นั้นโดนกันไปทั่วโลก และ เหตุที่รถยนต์มือสองล้นตลาดในไทยเพราะ นโยบายรถคันแรกที่คนเห่อซื้อกันจนล้นถนนหวังภาษีคืนในตอนที่มีนโยบายออกมาใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นหวังกระตุ้นรถยนต์
มือหนึ่งให้ขายได้มากขึ้น ทำให้คนเป็นหนี้รถยนต์กันบานเบอะ ยึดคืนก็เยอะ ตอนนี้เศรษฐกิจแย่รถมือสองล้นตลาดบ้านเราจนต้องระบายขายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า ลาว กัมพูชา ที่ถือเป็นตลาดรองรับรถมือสองจากไทย แต่อย่างว่าการให้คืนภาษีส่งออกนั้นมันก็มีมานานแล้วซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี แต่ละชนิดของสินค้า แต่กับรถยนต์เพิ่งจะมีแนวคิดนี้ เพราะตอนนี้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศก็ล้นตลาด รถนำเข้าก็แพงและมีเยอะ รถยึดรถมือสองแน่นแทบทุกเต็นท์ หรือ ทุกบริษัทประมูล ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการคืนภาษีตรงนี้จะช่วยให้การส่งออกรถมือสองคล่องขึ้น แม้ว่าจะตามหลังญี่ปุ่นที่ส่งออกรถมือสองมายังภูมิภาคแถบนี้มานานแล้วและมาแบบยกล๊อต แถมออฟชั่นครบกว่าของไทยอีก งานนี้ต้องเหนื่อยกันอีกยาวสำหรับธุรกิจส่งรถมือสองไปต่างประเทศ
แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่าอยู่ดีๆ เอาเงินภาษีของประชาชนตาดำๆ ไปให้คนรวยมีธรุกิจซะอย่างงั้นเอาเงินมาทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่าไหม รายได้หลักของประเทศหร่อยหรอลงทุกวันมีแต่เก็บภาษีที่เห็นเป็นกอบเป็นกำมันจะได้ม่คุ้มเสียไหนจะเสี่ยงต่อการซิกแซกเงินคืนภาษี การโกงกิน และ คอรัปชั่นอื่นมากมาย ทำให้ผลที่ได้ไม่คุ้มเสีย อีกทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศก็ขยันผลิตรถรุ่นใหม่ๆออกมากันปีละเป็นล้านๆคัน รวมหลายๆแบรนด์แล้วมันจะไม่มีรถมือสองล้นตลาดได้อย่างไร มีเงินก็ซื้อรถเปลี่ยนรถเป็นหนี้ไม่รู้จบ ไม่มีจ่ายก็ยึดกันไปยึดมาก็กองกันเต็มลานที่เก็บรถ จนรถมีแต่ฝุ่นเกาะขายมือสองในประเทศก็ขายกันแพงๆ มือหนึ่งก็แพง แบบนี้มันจะไปหารายได้ หาภาษีกันมาจากไหน ถนนก็ไม่พอจะวิ่งรถติดเหมือนจอดสนิทตามแยกต่างๆ บอกคำเดียวว่าไม่คุ้มเลยกับการมีรถยนต์ใช้เอง
ก็ต้องมารอดูกันว่าข่าวนี้จะจริงเท็จแค่ไหน แนวโน้มความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นได้นั้นมีมากเพียงใด ผลกระทบต่างๆกับประชาชนมันคุ้มกันไหมที่จะเสี่ยงแม้ว่าตอนนี้ภาครัฐจะพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่แต่ด้วยสภาวะการเงินของโลกมันย่ำแย่กันไปหมดดังนั้นต้องคิดกันยาวๆ ถึงผลได้ผลเสีย ส่วนเรามนุษย์เงินเดือนตอนนี้ประหยัดไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด
ที่มาข่าว : มติชน