อิสรภาพเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างก็หวงแหนเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราอยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำอย่างสบายใจในแต่ละวัน และอีกหนึ่งอิสรภาพที่เราต่างก็ต้องปกป้องรักษากันไว้ให้ดี ๆ ก็คือ อิสรภาพทางการเงิน การไม่มีหนี้เป็นพรอันประเสริฐของชีวิตค่ะ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคนเราต่างก็มีความต้องการและความจำเป็นที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละครอบครัวค่ะ คนที่ยังโสดตัวคนเดียวก็อาจจะมีความต้องการใช้เงินเพื่อความก้าวหน้าทางการงานของตัวเอง, คนที่กำลังจะมีครอบครัวก็อาจจะมีความจำเป็นต้องซื้อรถเพื่อดูแลคนที่ตัวเองรัก และ คนที่มีครอบครัวแล้วก็มีความต้องการซื้อของดี ๆ ให้ลูกรักของตนได้ใช้เหมือนคนอื่น ๆ จนบางครั้งก็อาจจะเผลอปล่อยให้ขีดความต้องการอยู่เหนือข้อจำกัดของรายได้และลงท้ายด้วยหนี้สินที่ต้องแบกเป็นภาระกันระยะยาวค่ะ
ถ้าหากคุณกำลังเผชิญหน้ากับหนี้ก้อนโตจนปวดขมับไม่รู้จะคลายปมหนี้อย่างไร ปฏิบัติการปลดหนี้ข้อแรกที่ต้องทำทันที คือ “เดินหน้าเคลียร์หนี้เก่าและไม่ก่อหนี้ใหม่เพิ่ม” สิ่งที่ควรทำคือเขียนออกมาให้หมดว่าคุณมีหนี้ค้างชำระกับใครบ้าง, ยอดของแต่ละเจ้าหนี้เป็นเงินเท่าไร และ แต่ละเจ้าหนี้คิดอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง เมื่อได้ข้อมูลครบก็ดูจากยอดเงินค้างชำระที่จำนวนมากที่สุด ถ้ามีเงินก้อนก็นำไปจ่ายยอดนั้นก่อน ส่วนยอดที่จำนวนน้อยลงมาก็ค่อย ๆ ทยอยจ่ายตามขั้นต่ำ แต่ถ้าเดือนไหนมีเงินมากขึ้นก็ควรจ่ายเพิ่มลงไปด้วยนะคะ สำหรับคนที่ไม่พร้อมชำระเงินก็จงอย่าคิดที่จะหลบลี้หนีหน้าไปจากธนาคาร หรือ สถาบันการเงินต่าง ๆ เลยนะคะ เสียเครดิตของคุณแล้วยังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นค่ะ
ทางที่ดีคุณควรหันหน้าไปเจรจากับทางธนาคารแบบเปิดอกไปเลยว่าคุณมีความสามารถในการผ่อนชำระที่จำนวนเท่าไรต่อเดือน หรือจะขอให้ทางธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ก่อนกี่เดือน และไม่ว่าคุณจะต่อรองอย่างไรกับเขาไปบ้าง ถ้าเขาตกลงอนุมัติตามนั้น คุณก็ควรทำการชำระให้ได้ตามที่คุยกันด้วยนะคะ ช่วงที่คุณ ๆ เดินหน้าผ่อนชำระจ่ายหนี้ต่าง ๆ อยู่นั้น ต้องไม่พลั้งเผลอไปใช้จ่ายเกินตัวอีกเด็ดขาดค่ะ ไม่อย่างนั้นหนี้ใหม่ไหลเข้ามาหนี้เก่าก็ยังลดลงไปไม่เท่าไร สุดท้ายก็หนี้เก่าหนี้ใหม่ก็ท่วมตัวกันอีกรอบแน่ ๆ ค่ะ ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้ มีเหลือก็นำไปออมบ้างดีกว่าค่ะ
ปฏิบัติการที่ 2 “เปิดโลกดูงบดุลตัวเอง” ถ้าคุณอยากรู้ว่าวันนี้เราแต่งหน้าอ่อนไป หรือ เข้มไป คุณ ๆ ก็คงจะเดินไปหน้ากระจกแล้วส่องดูตัวเองใช่มั๊ยคะ แล้วถ้าคุณ ๆ อยากรู้ว่าตอนนี้รูปร่างของคุณเป็นอย่างไร ผอมเกินไป หรือ อ้วนไปนิด คุณก็ต้องดูจากกระจกให้เห็นกันชัด ๆ ใช่มั๊ยค่ะ เช่นเดียวกันกับการสำรวจสภาพการเงินของคุณเองค่ะ คุณต้องเริ่มบันทึกรายได้และรายจ่ายต่าง ๆ ออกมาให้หมด ไม่ว่าจะรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ รายจ่ายประจำอย่างพวกค่าเช่าบ้าน, ค่าผ่อนรถ, ค่าน้ำ หรือ ค่าไฟ ก็เขียนออกมาให้หมดค่ะ พอคุณเขียนออกมาจนครบ ภาพรวมใหญ่ ๆ ก็จะเด่นชัดขึ้น ทีนี้ คุณก็จะรู้ด้วยตัวเองเลยว่ารายได้ของคุณแต่ละเดือนหมดไปกับเรื่องอะไร, ค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ไม่จำเป็นและต้องตัดทิ้งทันที หรือ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นส่วนไหนที่สามารถลดลงได้กว่านี้บ้างค่ะ หรือ บางทีคุณอาจจะเห็นจากการบันทึกงบดุลนี้ว่า คุณจำเป็นต้องมีรายได้ด้านอื่นมาเพิ่มเพื่อให้ความเป็นอยู่ดำเนินต่อได้ดีขึ้นค่ะ
ปฏิบัติการที่ 3 “สูดออกซิเจนด้วยรีไฟแนนซ์” สำหรับคุณ ๆ ที่ถ้าหากจะปลดหนี้ก้อนโตไปแล้วก็จะเจอภาวะสูญญากาศ คือไม่มีเงินเหลือใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่อเลย คุณต้องการออกซิเจนด่วน ๆ มาช่วยต่ออายุต่ออากาศหายใจค่ะ ดังนั้นทางเลือกอย่างการรีไฟแนนซ์เพื่อให้ได้เงินก้อนมาจ่ายหนี้ก้อนโต แล้วคุณก็ค่อยทยอย ๆ ผ่อนชำระเป็นเงินก้อนเล็ก ๆ หน่อย ดอกเบี้ยก็ไม่สูงมาก แต่อาจจะกินระยะเวลาเป็นหนี้นานขึ้นนิดหนึ่งนะคะ แต่แน่นอนว่าดอกเบี้ยไม่ได้สูงเว่อร์ ๆ อย่างพวกหนี้นอกระบบแน่ ๆ ค่ะ
ปฏิบัติการที่ 4 “สำรวจความช่วยเหลือดี ๆ จากสิ่งใกล้ตัว” ไม่ได้หมายความว่าให้ไปหยิบยืมญาติหรือเพื่อนที่ไหนหรอกค่ะ แต่อยากให้คุณ ๆ ที่เป็นพนักงานทั้งหลายลองดูจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสวัสดิการพนักงาน หรือ สหกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกได้ เพราะเงินกู้จากแหล่งเหล่านี้เป็นเงินกู้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำค่ะ จึงเป็นตัวช่วยดี ๆ ของมนุษย์เงินเดือนที่คุณ ๆ ไม่ควรมองข้ามค่ะ
และแม้ว่าปฏิบัติการ กำจัดหนี้ ครั้งนี้จะลุล่วงด้วยดีแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่คุณ ๆ เรียนรู้จากการเป็นหนี้ก็คือความตึงเครียดของชีวิต ยิ่งเวลาที่โทรศัพท์ดังขึ้นแต่ละครั้ง ก็ไม่อยากจะรับเพราะไม่รู้จะชำระได้เมื่อไร และ เท่าไร คุณเองก็คงไม่อยากให้เหตุการณ์เกิดวนซ้ำขึ้นมาอีก ดังนั้นจงตั้งสติและถามกับตัวเองทุกครั้งก่อนใช้เงินว่า สิ่งที่จะซื้อนั้นเป็นสิ่งจำเป็น หรือ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้คุณต่อหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ซื้อตามความจำเป็นและตามกำลังทรัพย์ที่คุณมีเท่านั้น แต่ถ้าคำตอบคือ ของสิ่งนั้นไม่ได้จำเป็นแต่เป็นความอยากได้ ก็พูดแค่ “บายค่ะ” แล้วเดินเชิด ๆ เริ่ด ๆ แบบคนไม่มีหนี้ดีกว่าค่ะ