คนเรามักหาทางที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่จะมีสักกี่คนที่เคยให้คำนิยามเกี่ยวกับความร่ำรวยจริงๆ ในแบบของตัวเอง ยิ่งสมัยนี้ยังมีคำว่า ‘อิสรภาพทางการเงิน’เพิ่มเข้ามาอีก ก็ยิ่งทำให้คนทั่วไปใช้เหมือนเป็นคำเดียวกัน ทั้งที่จริงแล้วความรวยกับการมีอิสรภาพทางการเงินนั้น ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ไม่ได้มีความหมายเหมือนกัน
ปกติเมื่อเราพูดถึงความร่ำรวย เรามักจะนึกถึงการมีเงินทองมากๆ แต่การมีเงินเยอะๆ จะทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้จริงหรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้
คุณลองนึกภาพของคนที่มีเงินสัก 100 ล้านบาท วันหนึ่งเกิดอยากใช้เงินซื้อบ้านสัก 20 ล้านบาท ซื้อรถอีกคันละ 5 ล้านบาท ทันใดนั้นเงินก็ลดลงเหลือเพียง 75 ล้านบาท เมื่อใดที่เงินพร่องลง ความรู้สึกมั่นคงทางการเงินจะถูกสั่นคลอน ไหนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่ รวมถึงให้เงินลูกๆ และภรรยา ซึ่งก็ต้องสมฐานะคนรวยหน่อย อาจจะเป็นเดือนละ 1 ล้านบาท (ปีนึงก็ 12 ล้านบาทแล้ว) นั่นเท่ากับว่าเงิน 100 ล้านบาท สามารถหมดได้ภายในเวลาเพียงหกปีกว่าๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เค้าต้องหาเงินเพิ่ม ไม่สามารถหยุดทำงานได้ นี่เป็นตัวอย่างนึงของคนที่รวย มีเงินเยอะ แต่ไม่มีอิสรภาพ
ผมอยากจะให้เรามาทำความเข้าใจกับที่มาของรายได้ (Income) กันก่อน โดยเราสามารถแบ่งที่มาของรายได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
- Active Income หรือรายได้ที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องทั้ง Act ทั้งถีบ ถึงจะได้เงินมา ที่มาของรายได้ประเภทนี้ ได้แก่ การทำงานประจำ และการทำธุรกิจส่วนตัวที่คุณต้องลงมือบริหารธุรกิจเองหรือทำงานเอง รายได้แบบนี้ (Active Income) จะเกิดขึ้นเมื่อคุณทำงาน ถ้าหยุดทำงานเมื่อไหร่ก็ไม่มีรายได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีรายได้แต่ Active Income เพียงอย่างเดียว คุณก็ยังต้องทนทำงานต่อไป เพราะต้องหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย (รายได้หยุด แต่รายจ่ายอาจไม่ได้หยุดไปด้วย)
- Passive Income หรือรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน รายได้ประเภทนี้ ถึงคุณจะหยุดทำงาน แต่ก็ยังมีเงินไหลเข้ากระเป๋าอย่างต่อเนื่อง ที่มาของรายได้ประเภทนี้ ได้แก่ รายได้จากการลงทุนในทรัพย์สิน เช่น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ที่ปล่อยให้คนอื่นเช่า รวมถึงการเป็นเจ้าของกิจการที่คุณไม่ต้องลงมือบริหารงานหรือลงมือทำงานเองอย่างการซิ้อหุ้น เป็นต้น การสร้าง Passive Income จะว่าไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่เชิงถูกต้องซะทีเดียว คืออาจต้องลงทุนลงแรงบ้างในช่วงแรกเริ่ม ซึ่งรายได้แบบ Passive Income นี้มีข้อดีตรงที่ว่าต่อให้คุณหยุดทำงาน แต่รายได้ของคุณก็ไม่ได้หยุดตามไปด้วย
ทีนี้ลองย้อนกลับมาที่ความรวย กับการมีอิสรภาพทางการเงิน อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การที่คุณรวย หรือมีเงินมากมาย ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีอิสรภาพทางการเงินไปด้วย เราพูดถึงอิสรภาพทางการเงินมากันพอสมควรแล้ว เรามาดูความหมายที่แท้จริงของอิสรภาพทางการเงินกันก่อน
อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) คือความสามารถในการใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นในด้านการเงิน ปราศจากหนี้สิน
คุณคงเห็นตัวอย่างของคนที่มีเงินเป็นร้อยล้านบาท (ที่ผมได้ยกตัวอย่างในข้างต้นแล้ว) คุณจะเห็นว่าเค้ามีเงินมากมายก็จริง แต่ไม่สามารถมีอิสระในการเลือกที่จะใช้ชีวิตได้ เพราะในเมื่อเงินของเค้าลดลงเรื่อยๆ เค้าจะหยุดทำงานไม่ได้ เพราะความร่ำรวยของเค้ามันเกิดจากรายได้แบบ Active Income
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ก็คือ หากคุณมีรายได้แบบ Active Income แต่เพียงอย่างเดียวนั้น ยากที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน เพราะอิสรภาพทางการเงินจะเกิดจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มาดูสมการง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างความรวย กับอิสรภาพทางการเงิน ดังนี้
รายได้แบบ Active Income > รายจ่าย ==> ความรวย
รายได้แบบ Passive Income > รายจ่าย ==> อิสรภาพทางการเงิน
สิ่งที่อิสรภาพทางการเงินให้คุณได้ แต่ความรวยให้คุณไม่ได้ นั่นก็คือ ‘ความหมดห่วงเรื่องการเงิน’ ลองถามตัวเองดูว่านี่คือเป้าหมายสูงสุดของการที่เราต้องมาทำงานกันไม่ใช่หรือ
ที่คุณต้องทนทำงานหามรุ่งหามค่ำ เจ็บป่วยก็ต้องทนทำ ต่อให้โดนเจ้านายด่า ลูกน้องบ่น ลูกค้าจุกจิก ก็ต้องทนเอา เพราะอะไร คุณอยากได้เงินจากการทำงาน เพราะต้องนำเงินไปใช้จ่ายใช่หรือไม่ ชีวิตของคนเราเต็มไปด้วยรายจ่าย แถมยังเป็นรายจ่ายประจำอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิตด้วย นี่เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด เพราะคุณไม่สามารถหมดห่วงเรื่องการเงินของได้ จึงทำให้ชีวิตไม่มีทางเลือก และไม่มีอิสระ
จนถึงตอนนี้คุณก็ได้รู้แล้วว่า ความรวยกับอิสรภาพทางการเงินแตกต่างกัน และคุณก็ได้รู้แล้วว่าที่มาของรายได้แบบ Passive Income เท่านั้น ที่จะสามารถทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะรออะไรอยู่ รีบหาช่องทางในการสร้าง Passive Income กันเถอะ