ทำเอาตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงกันระนาวหลังจาก จีนออกมาประกาศปรับค่าอ้างอิงของ ค่าเงิน หยวนให้อ่อนค่าลงไป 1.9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการขยับ ค่าเงิน ของจีนที่ใหญ่และสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบกว่ายี่สิบปี ไทยเองก็โดนผลกระทบไปกับเขาด้วย หลายคนบอกว่า ดีเพราะเราจะนำเข้าของจากจีนได้ถูก ค่าเงินถูกไปเที่ยวจีนก็ใช้เงินไม่เยอะ แต่หากมองกลับกัน จีนคือคู่แข่งการค้าของเรา ส่งของไปขายตามยุโรป และ อเมริกาเหมือนเรา และ เราส่งของไปขายเขา ราคาสินค้าของเราแพงกว่าเขา แบบนี้ส่งออกมีผลกระทบแน่นอน
เพราะในภาคการส่งออก เราส่งของไปขายจีนถึง 12% นักท่องเที่ยวจีนก็เข้ามาไทยจำนวนนับล้านต่อปี เมื่อจีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเองโดยปรับค่า ลด ค่าเงิน ให้อ่อนลง เพื่อหวังผลจากการส่งออก และ การท่องเที่ยว เน้นให้คนซื้อของในประเทศมากกว่าของนำเข้า ไทยเราก็โดนผลกระทบไปเต็มๆ และจีนหวังให้เงินหยวนนั้นอยู่ในระบบเงินของ IMF เช่นเดียวกับ ดอลลาร์ เยน ยูโร และ เงินปอนด์ของอังกฤษ ทำให้นโยบายค่าเงินของจีนต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามกระแส แน่นอนว่าไทยก็ต้องโดนผลกระทบด้วยเพราะ ค่าเงิน ของเราก็ไหลตาม ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็กำลังระดมความคิดในการแก้ปัญหาผลกระทบจากเรื่องนี้
คนที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับแรกอาจจะไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน มนุษย์เงินรายวันอย่างเราๆ แต่เจ้าของกิจการสินค้าส่งออก และ การท่องเที่ยว คือกลุ่มแรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบนี้ ทั้งส่งสินค้าไปจีน หรือ ประเทศอื่นๆ เพราะเรากับจีนในแง่ของคู่แข่งทางการค้านั้นมีสินค้าหลายชนิดที่ส่งออกเหมือนกัน และ บางอย่างก็มีการย้ายฐานการผลิตจากไทยไปจีน เพราะจีนนั้นถือว่าค่าแรงถูก หากเทียบกับไทย ประชากรแรงงานมีเยอะกว่าไทย แม้ว่าสินค้าจากไทยจะมีคุณภาพมากกว่าจีนก็ตาม
สิ่งเหล่านี้หากเจ้าของกิจการได้รับผลกระทบ แน่นอนว่า ลูกจ้างรายเดือน รายวัน รับเหมา ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เช่น การลดจำนวนวันทำงาน ลดชั่วโมงโอที และ อาจลามถึงการเลิกจ้าง เห็นไหมว่าผลกระทบระดับโลกมันก็กลายเป็นลูกโซ่ถึงเราเด้วยเหมือนกัน กับสภาวะในประเทศ ค่าแรงรายวันขั้นต่ำ 300 บาท หากเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบันก็นับว่าแทบไม่พอกันแล้ว คิดง่ายๆแค่ในกรุงเทพและตามจังหวัดใหญ่ๆ ที่ได้วันละ 300 นั้น ค่าเดินทาง ค่าข้าว ค่าจิปาถะ บางคน 300 ยังแทบไม่พอ บางจังหวัดค่าแรงไม่ถึง 300 ด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกว่าอยู่ต่างหวัดของถูก ปัจจุบันนี้ไม่ถูแล้วนะ ราคาข้าวราดแกงธรรมดาๆ ก็จานละ 30 บาทกันแล้ว และเป็นเกือบทุกจังหวัดด้วย บางครั้งค่าแรงไม่มีการประกาศขึ้น แต่สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆขึ้นราคารอล่วงหน้าแล้ว แบบนี้ปรับค่าแรงสัก 10 รอบก็คงไม่พอกับค่าครองชีพ ที่นับวันจถีบตัวสูงกว่ารายได้
และหากจีนยังไม่หยุดการปรับลดค่าเงินหยวน หรือ มีการปรับค่าเงินเป็นระยะๆ ในอนาคต เชื่อว่าผลกระทบที่จะส่งถึงเรานั้นอาจจะมีมากขึ้น อย่างที่เคยกล่าวในหลายบทความ คนไทยยังให้ความสำคัญกับคำว่าการเงินและเศรษฐกิจอยู่น้อยมาก หากไม่ใช่ผู้ประกอบการ หรือ คนที่ทำงานด้านการเงิน แทบจะไม่สนใจกันแลย ดังนั้นเรื่องผลกระทบเหล่านี้ทำให้หลายๆคนไม่สนใจและกว่าจะรู้ตัวอีกทีคือโดนโละออกจากงานเพราะบริษัทเจ๊ง หรือ รายได้ลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น เมื่อประสบปัญหาเหล่านี้ถึงจะหันมาสนใจว่าเกิดจากอะไร ตอนนี้เวลานี้หลายๆคนยังใช้จ่ายกันสบายๆ วันหยุดไปช้อปปิ้งกินข้าวกันตามห้างสรรพสินค้า ไปเที่ยวต่างประเทศกันทุกเทศกาลที่หยุดยาว ใช้สินค้าแบรนด์เนม เป็นหนี้บัตรเครดิต
อยากบอกว่าระวังกันไว้บ้าง เศรษฐกิจโลกกำลังย่ำแย่ลงทุกวัน น้ำมันแพง ทองแพง ค่าเงินกำลังจะกลายเป็นสงคราม หุ้นตกทั่วโลก เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง การเมืองไทยก็ยังไม่นิ่ง อะไรๆก็แพง ไม่เตรียมตัวกันให้ดีๆ รับรองว่าหลายคนล้มละลายแน่ ว่างๆก็ลองทำรายรับรายจ่ายกันดู มีเงินเก็บสำรองกันเท่าไหร่ หนี้สินเท่าไหร่ ลดภาระอะไรลงได้บ้าง เตรียมความพร้อมกันไว้ หากมันไม่เกิดก็โชคดีไปสิ่งที่ได้คือเราลดการฟุ่มเฟือยลง เรามีเงินเก็บมากขึ้น แต่หากเกิดขึ้นมาจริงๆ เราก็ยังไม่เดือดร้อน ตกงานก็ยังมีเงินสำรอง หากข้าวของแพงขึ้นเราก็ยังมีเงินพอใช้จ่าย อะไรๆมันส่งสัญญาณเตือนหลายอย่างแล้ว อย่ามัวแต่เพิกเฉย เพราะมันมาแต่ละครั้งเราไม่เคยรู้ตัวกันเลย รู้อีกทีก็หนี้บานทั้งประเทศแล้วจริงไหมล่ะ ?