ไม่มีใครจะปฏิเสธความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตหรอกค่ะ ยิ่งเป็นความคล่องทางการใช้จ่ายแล้ว ยิ่งไม่มีใครไม่เอาหรอกจริงมั๊ยคะ แต่การรูดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตนั้น จะมีความสุขสบายจริง ๆ ก็ต่อเมื่อคุณใช้จ่ายและไม่มีดอกเบี้ยใด ๆ มาวอแวกับคุณ ซึ่งระยะปลอด ดอกเบี้ยบัตรเครดิต โดยทั่ว ๆ ไปก็จะอยู่ที่ 45 – 55 วัน ก็แล้วแต่ธนาคารผู้ออกบัตรแต่ละแห่งนะคะ และบ่อยครั้งกับหลาย ๆ คนที่เมื่อมีบัตรเครดิตอยู่ในมือก็ฉลองการใช้จ่ายตามวงเงินที่ได้กันมา ซึ่งก็จะมากกว่าวงจำกัดของรายได้บุคคลแต่ละเดือนอยู่แล้ว
ก็อย่างที่เราได้ยินได้รับข้อเสนอจากธนาคารนั่นแหละค่ะ เราให้วงเงินบัตรเครดิตคุณมากกว่ารายได้ 2 เท่านะคะ ถ้าได้รับข้อเสนอแบบนี้ ก็ระวังใจอย่าใช้จ่ายเพลินเกินวงเงินเชียวนะคะ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณใช้เงินเกินกว่ารายได้ เมื่อนั้นคุณก็จะไม่สามารถชำระเต็มจำนวนได้ พอวงเงินบัตรนี้เต็ม บางคนก็หาทางแก้ไขปัญหาด้วยการสมัครบัตรเครดิตอีกใบ หวังจะเอาเงินจากบัตรใหม่มาช่วยปลดล็อคตัวเองจากบัตรเก่า แต่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่ก็ไม่สามารถปิดหนี้เก่าได้ กลายเป็นชีวิตติดวังวนหนี้บัตรเครดิต ไปไหนไม่ได้ เพราะดอกเบี้ยจากการกดเงินสดผ่านบัตรเครดิตนั้น วิ่งเร็วมากเริ่มนับกันตั้งแต่วันที่คุณถอนเงินออกมาเลยล่ะค่ะ และดอกเบี้ยต่อปีก็มีอย่างต่ำ 20% เลยนะคะ ทีนี้ ชีวิตคุณก็จะกลายเป็นทำงานหาเงินมาจ่ายหนี้อย่างเดียว และในวันนั้นคุณจะเข้าใจคำว่า หงายเงิบเมื่อ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต บานล่ะค่ะ
อันที่จริง การใช้บัตรเครดิตให้เป็นเครดิตการเงินที่ดีของคุณนั้น ขึ้นอยู่กับวินัยในการชำระหนี้บัตรเครดิตล้วน ๆ เลยหล่ะค่ะ เพราะถ้าคุณจ่ายชำระได้ตรงเวลา เต็มจำนวนเสมอ คุณก็ยังสะดวกสบายกับการใช้บัตรเหมือนเดิม และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอะไรเลย แถมได้ส่วนลดและสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกด้วย นี่ยังไม่รวมเงินคืน หรือ cash back ของบางบัตรเครดิตด้วยนะคะ ถ้าคุณไม่อยากมืดแปดด้านเพราะหนี้บัตรเครดิตตีกรอบการเงินของคุณ ก่อนจะใช้บัตรเครดิตทำอะไร เรามาศึกษากันสักหน่อยดีกว่าค่ะ ว่าบัตรเครดิตเขาคิดดอกเบี้ยเราอย่างไรกันบ้าง โหดมากขนาดไหนมาดูไปพร้อม ๆ กันนะคะ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนนะคะว่า การเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิตนั้น ไม่มีช่วงที่ปลอดดอกเบี้ยนะคะ เพราะดอกเบี้ยเงินสดจะออกตัวนับหนึ่งทันทีในวันที่เรากดเงินออกมาใช้ค่ะ และการคิดดอกเบี้ยก็จะเริ่มคูณจำนวนวันตั้งแต่วันที่เรากดเงินไปจดถึงวันที่เราจ่ายตังค์ ทีนี้ บางคนนึกไปว่าไปจ่ายตามกำหนดเวลาที่เขียนไว้ก็คงทัน ไม่มีดอกเบี้ยอะไร ก็ทำความเข้าใจใหม่ซะนะคะ และแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะใจดีออกประกาศให้ไว้ว่า ธนาคารผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ย, ค่าปรับ, ค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตนั้น คิดรวมกันแล้วต้องไม่มากเกินไปกว่า 20% ต่อปี ก็ตามเถอะค่ะคุณ
แต่คุณคงไม่ลืมไปหรอกนะว่า ปี ๆ หนึ่งดอกเบี้ยเงินฝากเงินออมของคุณ ๆ นั้นได้กันไม่เกิน 1.5% แล้วฐานเงินเดือนของคุณ ๆ เองก็อิงกับอัตราเงินเฟ้อซึ่งก็ไม่มีทางเกิน 3 – 4% ต่อปีเช่นกัน คิดดูเอาเองเลยค่ะว่า ดอกเบี้ย 20% ต่อปี โหดร้ายต่อชีวิตขนาดไหน ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตนั้นจะถูกคิดคำนวณทันทีที่คุณเริ่มจ่ายเพียงบางส่วน หรือ จ่ายขั้นต่ำ โดยดูจากวันสรุปยอดบัญชีค่ะ
หากคุณเริ่มจ่ายขั้นต่ำ หรือ จ่ายเงินช้าเกินกำหนด และบางเดือนก็ต้องไปกดเงินจากบัตรกดเงินสด หรือ บัตรเครดิตมาเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน หรือ นำเงินออกจากบัตรนี้ไปโปะหนี้จากบัตรใบอื่น ๆ และบางครั้งก็งง ๆ กับตัวเองว่าเรามีรายได้เท่าไรกัน, หนี้อะไรมากมาย อันไหนต้องจ่ายวันไหน เท่าไรบ้าง และ ไม่มีเงินออมเหลือ บางครั้งก็ต้องยืมจากคนรอบข้าง นั่นเป็นการส่งไซเรนแล้วว่าคุณกำลังจมลงไปในวังวนหนี้บัตรเครดิตค่ะ
ซึ่งถ้าคุณไม่อยากจมปลักลงไปทั้ง 2 ขาเหมือนติดอยู่ใต้โคลนดูดล่ะก็ คุณต้องหยุดสร้างหนี้เพิ่ม อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ จำกัดค่าใช้จ่ายซะ ถ้าคุณยังใช้จ่ายผ่านบัตรต่อไป เงินต้นจากยอดใหม่ก็มี ดอกเบี้ยค้างของยอดเก่าก็ขึ้นไปเรื่อย ทีนี้ ถมอย่างไรก็ไม่หมดค่ะ และต้องตัดความคิดที่จะไปกดเงินจากบัตรเครดิตใบไหน ๆ มาโปะหนี้บัตรใบเดิมด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากได้เจ้าหนี้มาโทรหากันเพิ่มอีก 1 ราย จ่ายดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มอีก 1 แห่ง หัวหมุนแน่ๆ คุณขา
แล้วถ้ากำลังคิด ๆ ว่าไปกู้เงินทางอื่น ยิ่งต้องเลิกความคิดเรื่องไปกู้หนี้นอกระบบเด็ดขาดนะคะ เพราะดอกเบี้ยนอกระบบไม่มีกฎหมายรองรับจะขึ้นกันเป็นรายวัน ทั้งผิดกฎหมาย และ ทำให้คุณมืดลงกว่าเดิมค่ะ ทางที่ดี คุณควรหันหน้าไปคุยกับธนาคารผู้ออกบัตร และ เจรจาขอหยุดดอกเบี้ย ขอแบ่งจ่ายเท่าไรต่อเดือนตามที่คุณไหวค่ะ และถ้าอยากหมดหนี้ไว ๆ ก็หางานเสริมทำเพิ่ม ถ้าคุณไม่หนีหายก็ไม่เสียเครดิตทางการเงิน และสามารถปลดหนี้ได้แน่นอนอีกด้วยนะคะ