เชื่อว่า หลายๆคน คงจะมีบัตรเครดิตอย่างน้อย 1 ใบติดกระเป๋า เนื่องจาก ในปัจจุบันบัตรเครดิต ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ชำระค่าสินค้า บริการได้อย่างสะดวกสบาย เพราะร้านค้าต่างๆ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล สามารถรับบัตรเครดิตได้หลากหลาย นอกจากนี้ บัตรเครดิตแต่ละใบ ยังมีโปรโมชั่นต่างๆ ที่ดึงดูด ให้ต้องมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอีก จนบางครั้ง ทำให้ประสบปัญหาหนี้สินขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
นอกจากนี้ ปัญหาที่ต้องเจอหลังจากเป็นหนี้บัตรเครดิตนั้น คือ หนี้สินที่พอกพูนขึ้น เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้ประสบปัญหา เลือกใช้วิธีกดเงินสดจากบัตรเครดิตใบหนึ่ง ไปจ่ายอีกใบหนึ่งแทน วิธีนี้ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง และยังก่อให้เกิดหนี้สินที่เพิมพูนขึ้นอีกด้วย
เทคนิคการลดดอกเบี้ยหนี้บัตรเครดิต ที่สามารถทำได้ มี 3 วิธี คือ
1. เพิ่มอัตราการผ่อนชำระ
การเพิ่มอัตราการผ่อนชำระขึ้น 1 เท่า (จากขั้นต่ำ 5% เป็น 10%) จะช่วยลดค่าดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนชำระลงประมาณครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ตัวอย่าง : มียอดค้างชำระ 10,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี
ยอดผ่อนชำระ |
5% (500 บาท) |
10% (1,000 บาท) |
15% (1,500 บาท) |
20% (2,000 บาท) |
จำนวนเงิน |
500 |
1,000 |
1,500 |
2,000 |
ดอกเบี้ยที่ต้องเสียทั้งหมด |
1,987 |
916 |
616 |
475 |
ลดลงจากงวดก่อน |
– |
53.69% |
32.75% |
22.89% |
หมดภาระภายใน |
28 เดือน |
12 เดือน |
8 เดือน |
6 เดือน |
จะเห็นได้ว่ายิ่งชำระเพิ่มจากเดิมก็ยิ่งปลดหนี้เร็วขึ้น และดอกเบี้ยลดลง
2. โอนหนี้ รีไฟแนนซ์ (หรือทำ Balance Transfer) ไปวงเงินหรือบัตรอื่น
หลักง่ายๆ ในการคำนวณคือทุกๆ 1% ของอัตราดอกเบี้ย ที่ถูกลง (เช่น โอนจากอัตราดอกเบี้ย 18% ไป 17%) คุณจะประหยัดค่าดอกเบี้ยไปได้ ประมาณ 6% ตัวอย่างเช่น โอนไปอัตราที่ต่ำกว่า 2% คุณจะลดค่าดอกเบี้ยรวมไป 12% (6% x 2)
ตัวอย่าง :
- กู้ 10,000 บาทที่ดอกเบี้ย 18% ผ่อนชำระขั้นต่ำ 5% ค่าดอกเบี้ยรวม 1,978
- กู้ 10,000 บาทที่ดอกเบี้ย 17% ผ่อนชำระขั้นต่ำ 5% ค่าดอกเบี้ยรวม 1,842 ลดลง 136 หรือ 6.8%
- กู้ 10,000 บาทที่ดอกเบี้ย 16% ผ่อนชำระขั้นต่ำ 5% ค่าดอกเบี้ยรวม 1,709 ลดลง 133 หรือ 7.2%
3. รีไฟแนนซ์ควบกับการเพิ่มอัตราผ่อนชำระ (ดีที่สุด)
การรีไฟแนนซ์พร้อมกับการจัดการผ่อนชำระให้หมดในระยะเวลาที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษจะทำให้คุณประหยัดมากที่สุด
การเป็นหนี้บัตรเครดิต จะทำให้ชื่อของคุณติดเครดิตบูโร ซึ่งจะเป็นปัญหา และส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อ หรือการทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ในอนาคตต่อไป