แทนที่จะนำเงินกู้ซึ่งมีต้นทุนไปใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ กลับนำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับกิจการแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ได้อีกด้วย แล้วจะทำยังไงให้ กู้เงินถูกประเภท ได้ล่ะ ?
คนทำธุรกิจส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำว่าเงินกู้เป็นอย่างดี ซึ่งการจะกู้เงินจากธนาคารได้นั้นกิจการจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน อีกทั้งต้องระบุวงเงินที่ต้องการใช้ ระยะเวลาชำระคืน และที่สำคัญคือต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงินกู้ให้กับธนาคาร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น หลายท่านอาจเคยได้ยินคำว่านำเงินกู้ไปใช้ผิดประเภทอยู่บ้าง แต่คำว่าการใช้เงินกู้ผิดประเภทนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แล้วเราจะป้องกัน หรือแก้ไขได้อย่างไร มาดูกัน
การนำเงินกู้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ คือการนำเงินกู้ที่ธนาคารให้มาเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่ง ไปใช้เพื่ออีกวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น นำเงินกู้ซื้อเครื่องจักรไปซื้อรถประจำตำแหน่ง หรือจ่ายเป็นโบนัสให้กับผู้บริหาร ซึ่งการใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์แบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ และมักพบในกิจการที่ไม่ได้มีการบริหารงานที่ดีพอ ซึ่งแทนที่จะนำเงินกู้ซึ่งมีต้นทุนไปใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ กลับนำไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับกิจการแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ได้อีกด้วย
การนำเงินกู้ไปใช้โดยไม่ได้คำนึงถึงอายุของเงินกู้ และอายุของสินทรัพย์ ซึ่งก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเงินกู้นั้นแบ่งเป็น เงินกู้ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งรูปแบบของเงินกู้นั้นมีทั้ง แบบวงเงินกู้ธรรมดามีกำหนดชำระคืน และวงเงินกู้หมุนเวียน สำหรับวงเงินกู้ระยะสั้นมีอีกรูปแบบที่เรารู้จักกันดีคือ วงเงินเบิกเกินบัญชี ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าวงเงินกู้ธรรมดาที่วิธีการคิดดอกเบี้ย กล่าวคือ วงเงินกู้แบบธรรมดาจะคิดดอกเบี้ยจากเงินกู้ทั้งก้อนทันทีเมื่อมีการโอนเงินกู้เข้าบัญชีของผู้กู้ จากนั้นเมื่อมีการชำระเงินต้นเข้ามาเป็นงวดๆ การคิดดอกเบี้ยก็จะลดลงตามยอดเงินต้นคงเหลือ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าจะชำระอย่างไร เฉพาะดอกเบี้ยก่อน หรือทั้งต้นทั้งดอกในแต่ละงวด) ในขณะที่วงเงิน OD จะคิดดอกเบี้ยเฉพาะส่วนของเงินต้นส่วนที่เบิกออกมา
เมื่อชำระเงินต้นกับธนาคารดอกเบี้ยก็หยุด วงเงินส่วนที่ยังไม่เบิกออกมาจะไม่นำไปคิดดอกเบี้ย ด้วยเหตุนี้เองทำให้อัตราดอกเบี้ยของวงเงินเบิกเกินบัญชีนั้นสูงกว่าวงเงินกู้ธรรมดา (ที่มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว) โดยปกติเงินกู้ระยะสั้นนั้นควรนำไปลงทุนระยะสั้น เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรง ซึ่งเมื่อจ่าย ไปแล้วจะสร้างรายได้กลับคืนมาในระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) ส่วนเงินกู้ระยะยาว จะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวจำพวกเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยการผลิตและสร้างรายได้ในระยะยาว
การใช้เงินกู้โดยไม่ได้คำนึงถึงอายุของเงินกู้เกิดขึ้นได้ในสองกรณีต่อไปนี้
การบริหารเงินกู้ที่ผิดพลาด คือการนำเงินกู้ระยะสั้นไปใช้ลงทุนในทรัพย์สินระยะยาว โดยกิจการที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวมักจะเต็ม (ติดตัวแดง) ซึ่งหมายถึงเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เพราะเอาไปใช้ซื้อสินทรัพย์ระยะยาว สาเหตุมักเกิดจากเดิมมีวงเงินเหลืออยู่ เมื่อมีความต้องการซื้อสินทรัพย์ระยะยาวเพิ่ม กลับไม่ไปขอเพิ่มวงเงินกู้ระยะยาว กลับนำเงินกู้ระยะสั้นมาใช้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสะดวกกว่า ไม่ต้องทำเรื่องใหม่ ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือกิจการขาดสภาพคล่อง ผิดนัดชำระหนี้ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงเกินความจำเป็น
อีกข้อหนึ่งคือ การนำเงินกู้ระยะยาวไปใช้กับสินทรัพย์ระยะสั้น เป็นกรณีที่มีการขอวงเงินกู้ระยะยาวมาแล้วยังไม่มีแผนรองรับการใช้วงเงินเต็มทั้งจำนวน มีเงินสดเหลือจึงนำเงินกู้ระยะยาวมาใช้ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งผลเสียคือเกิดการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนไม่มีประสิทธิภาพ เพราะไม่มีแรงกดดันในเรื่องของสภาพคล่อง อาจมีการแบกรับสต๊อกสินค้าคงคลัง หรือมีลูกหนี้เกินความจำเป็น ส่งผลต่อต้นทุนของกิจการทำให้กำไรลดลง
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว หากกิจการของท่านยังใช้เงินกู้ผิดประเภทอยู่ ควรรีบเจรจากับธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างเงินกู้ใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนทีจะทำการกู้ทุกครั้ง จำเป็นที่จะต้องศึกษารายละเอียดเงินกู้ให้ดีเสียก่อน และควรหาสถาบันการเงินหลายๆสถาบันไว้เป็นทางเลือก เพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่มีดอกเบี้ยที่ต่ำ และเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ เพราะหากพลาดโอกาสจากที่หนึ่งก็สามารถยื่นขอสินเชื่อจากอีกที่หนึ่งได้โดยไม่เสียเวลา
ข้อคิดก่อนที่คุณจะทำการกู้เงิน หากเป็นเรื่องที่จำเป็น หรือต้องการที่จะลงทุนนั้น จัดได้ว่าสมควรเป็นอย่างยิ่ง แต่หากกู้มาเพื่อใช้ใช้จ่ายอย่างไม่มีขอบเขต หรือข้อกำหนดนั้นย่อมไม่สมควร จะดีกว่ามั้ยหากคุณไม่ต้องเป็นหนี้ หรือสร้างภาระทางการเงิน ที่สำคัญคุณต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อนเพื่อที่จะได้ให้ กู้เงินถูกประเภท นั่นเอง