บางครั้งเราก็คงเกิดคำถามกับตัวเองกันมาบ้าง ว่าในตอนนี้นั้นเป็นจุดสูงสุดของยุคเงินทองฝืดเคือง ข้าวยากหมากแพงแล้วหรือยัง นั่นก็เพราะหลายๆคนอาจจะเริ่มเบื่อหน่ายกับการจำกัดเงินที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้ว และแน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างปัญหามากมายให้กลุ่มคนที่มีค่าใช้จ่ายมากมายไม่ว่าจะเป็นหนี้สินหรือรายจ่ายที่จำเป็นต่างๆนั่นเอง และมีหลายๆคนเลยที่ออกมาวิเคราะห์ว่าปัญหาค่าเงินและการเงินที่ฝืดเคืองในช่วงนี้นั้นส่งผลกับคนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นก็คือ คนชั้นชนกลางและคนชนชั้นล่างเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นต้องใช้เงินในการดำรงชีวิตและใช้จ่ายอื่นๆนั่นเอง
แต่เรื่องราวเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมานั้นก็ไม่ได้มีแต่สร้างเรื่องไม่ดีให้เราเท่านั้น เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำให้หลายคนย้อนกลับมามองตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เราต้องมาจำกัดการใช้เงินหรือมีปัญหาเรื่องการเงินได้มากขนาดนี้ ทั้งจากตัวเราเองและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ หากใครยังไม่เคยย้อนกลับไปดูตนเองเพื่อหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ก็ควรลองย้อนกลับไปมองดูใหม่ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดปัญหานี้ขึ้นมา และเพราะอะไร คนรวย ถึงได้รับผลกระทบในเรื่องนี้น้อยกว่าคนอื่นๆ คนเหล่านั้นเขามีแนวคิดในการดำเนินชีวิตอย่างไรกัน แม้ว่าบางคนอาจจะบอกว่าคนกลุ่มนี้เขามีเงิน อย่างนั้นเราก็ต้องมาดูกันว่า คนรวยชอบทำอะไร ทำไมเขาถึงมีเงินกันดีกว่า
โดยมีการสำรวจหนึ่งได้สำรวจออกมาว่า คนรวย นั้นเขามีแนวทางการดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไปทำให้ฐานะทางการเงินของเขานั้นมีความมั่นคง จนไม่มีปัญหาเมื่อเกิดปัญหาภาวะเงินฝืดหรือได้รับผลกระทบน้อยนั่นเอง ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักจะมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่ชัดเจน ให้ความสำคัญและใส่ใจในเป้าหมายของตนเองอยู่เสมอ โดยจะตั้งเป็นเป้าหมายหลักเป็นปีและตั้งเป้าหมายรองในแต่ละเดือนควบคู่ไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้ยังมีการบันทึกเป้าหมายในการใช้ชีวิตลงไปในกระดาษได้ด้วย เหมือนเป็นการทำสัญญาแบบเป็นลายลักษณ์อักษรและเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง
2. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้จะกำหนดอย่างชัดเจนว่าใน 1 วันนั้นเขาต้องทำอะไรบ้าง เหมือนเป็น Checklist สิ่งที่ต้องทำลงไป และคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสสำเร็จสูงมากด้วย
3. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักจะไม่ดูทีวี เพราะคนเหล่านี้จะนำเวลาที่ใช้ในการดูทีวีไปทำอย่างอื่นๆซึ่งมีประโยชน์หรือสร้างเงินได้มากกว่านั่นเอง
4. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักอ่านเพื่อสร้างประโยชน์มากกว่าการอ่านเพื่อความสนุก เนื่องจากคนเหล่านี้มองเห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ไม่มีใครที่พัฒนาไม่ได้ เพียงแค่ทุ่มเทเวลาให้การพัฒนานั้นมากพอนั่นเอง
5. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้รู้จักที่จะฟัง ไม่ว่าจะเป็นการฟังจาก Audio book หรือฟังความเห็นของคนอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองแล้ว ยังเป็นการเปิดมุมมองความคิดต่างๆจากบุคคลอื่นๆในสังคมมากขึ้นด้วย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมักจะเข้าสังคมอยู่เสมอ
6. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักทำงานเพื่อความสำเร็จมากกว่าเงิน แน่นอนว่าการทำงานของเรานั้นมีการตั้งเป้าหมายไว้อยู่แล้ว แต่คนกลุ่มนี้จะให้น้ำหนักไปที่ผลลัพธ์ที่ดีของการทำงาน ซึ่งประเมินได้จากความต้องการเกี่ยวกับงานนั้นๆหรือความหวังในงานนั้นๆนั่นเอง และความสุขในการทำงานมากกว่าการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาใช้ไปวันๆแบบคนส่วนใหญ่นั่นเอง
7. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักดูแลรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างแรกที่เราเห็นได้จากเรื่องนี้ก็คือระเบียบวินัยของคนเหล่านี้ที่มากพอจะบังคับให้ตนเองออกกำลังกายได้ทุกวัน และเขาเข้าใจว่าต่อให้มีเงินมากแค่ไหนแต่ก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้นอกจากการสร้างขึ้นมาเองนั่นเอง
8. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้อาจจะไม่เชื่อในโชคชะตา อย่างน้อยๆก็ไม่รอโชคชะตา เพราะคนเหล่านี้จะอยู่กับสิ่งที่เป็นตรรกะ การกระทำต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับตนเองล้วนๆไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็เก็บเป็นประสบการณ์ไป เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซ้ำได้อีกนั่นเอง
9. คนที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง คนเหล่านี้มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ อย่างน้อยๆการยิ้มออกกมาก็เป็นการสร้างแรง positive ต่อตนเอง ซึ่งจะความมั่นใจไปยังบุคคลรอบข้างด้วยนั่นเอง และแน่นอนว่าคนที่มีพลังบวกก็จะดึงดูดคนที่มีลักษณะเดียวกันเข้ามาหา ทำให้เรารู้สึกสดใสและความคิดปลอดโปร่งมากขึ้นนั่นเอง
ครบไปแล้วสำหรับข้อแนวทางการดำเนินชีวิตที่แตกต่างออกไปของคนที่มีฐานะดีหน่อยและกลุ่มคนชั้นกลางหรือล่างแล้วแต่คนจะเลี้ยง ไหนใครลองสำรวจตนเองแล้วบ้าง แล้วได้คำตอบ 2-3 อย่างที่ตรงกับ 9 ข้อที่นำเสนอไปก็ดี แต่ส่วนอื่นๆนั้นอาจจะมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยตามกฎหมายนั่นเอง ที่นี้ใครอยากจะรวยหรือมีฐานะทางการเงินมั่นคงก็ลองหันมาทดลองสิ่งเหล่านี้ดู เผื่อว่าจะช่วยให้ภาระที่เรารับในการใช้จ่ายอยู่นั้นเบาลงได้นั่นเอง