แบกชีวิต พอเกิดมาก็เป็นหนี้ อยู่อย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่พ้น ยังอยากจะมี เงินไม่พอ ต้องขอผ่อน หากเดือดร้อน ก็จะยอมสู้อดทน
นี่คือท่อนแรกของเนื้อเพลง ชีวิตหนี้ ที่ร้องโดย เสือ ธนพล อิทธฤทธิ์ เพลงดังเมื่อสักประมาณ 20 ปีที่แล้วหรือมากน้อยกว่านั้น ซึ่งตอนที่เพลงนี้ออกมานั้น สภาพเศรษฐกิจในบ้านรายังไม่ฝืดเคืองขนาดนี้ ภาระหนี้สินครัวเรือนยังไม่มากขนาดนี้ แต่หากมาฟังกันในยุคนี้แล้วลองวิเคราะห์ตาม จะพบว่า ปัจจุบันหลายๆครอบครัวเป็นแบบเพลงนี้กันจริงๆ
ปัจจุบันนี้หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากจากยุคก่อนเยอะพอสมควร เรียกง่ายๆว่าเด็กเกิดมาจากคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ จีดีพี ต่างๆทุกคนแบกภาระหนี้สินในภาพรวมกันทุกคน ถ้าจำไม่ผิดผู้เขียนเคยอ่านเจอว่าเขาตีค่าเฉลี่ยหนี้สินประชากรทุกคนในประเทศรวมทั้งทารกเกิดใหม่ตกเฉลี่ยเกินหมื่นบาทขึ้นไป อันนี้ถ้าผิดก็อย่าว่ากันนะเพราะจำไม่ได้ว่าเจอมาจากที่ไหน ซึ่งหลายๆคนบอกว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับครอบครัวกับตัวเราล่ะ จริงๆแล้วก็ไม่เกี่ยวหรอกแต่นี่คือภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆว่า จีดีพีเท่านั้นเท่านี้ หนี้สินครัวเรือน หนี้สินประชากร ฟังแล้วปวดหัว เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวใช่ไหม
แต่ในความเป็นจริงสังคมปัจจุบันมันเป็นแบบนี้ เป็นแบบที่เพลงชีวิตหนี้ จริงๆ ลองดูง่ายๆเลยก็ได้ ในแต่ละครอบครัวมีต้นทุนแตกต่างกัน คนรวยเราจะไม่พูดถึง เอาแค่ฐานะปานกลาง และ ยากจน บางคนมีลูกเงินจะคลอดลูกยังไม่มีอันนี้เรื่องจริง สมัยก่อนบางคนต้องคลอดแบบอนาถา แต่ปัจจุบัน 30 บาทก็คลอดลูกได้ทำให้คนที่ยากจนจริงๆไม่เดือดร้อน ส่วนคนที่มีประกันสังคมอยากจะบอกว่า ตอนฝากตอนคลอดจ่ายเองนะจ๊ะ ได้เงินค่าคลอดจะพอค่า โรงพยาบาลหรือเปล่ายังไม่รู้หากเลือกใช้สิทธิตามโรงพยาบาลเอกชน เห็นไหมว่าแค่ลูกยังไม่เกิดพ่อแม่ก็มีภาระแล้ว และพอเกิดมาบางครอบครัวก็เป็น หนี้ ทั้งหนี้เงินกู้ หนี้บัตรเครดิต หนี้ในระบบ นอกระบบ ปนเปกันไปหมด เพราะไหนจะค่านม ค่ายา อีกสารพัด พอโตหน่อยก็เข้าเรียน พอเรียนจบก็ทำงานช่วยพ่อแม่ใช้หนี้ ทั้งหนี้ครอบครัว หนี้ตัวเอง หนี้กู้ยืมเรียน แบบนี้ไม่เรียกชีวิตหนี้ จะให้เรียกอะไรล่ะ
อย่าปฏิเสธเลยว่าสังคมบ้านเรามีแบบนี้ เป็นแบบนี้ คนรวยมีอยู่แค่กระจุกเดียว คนจนมีกระจัดกระจาย คนมีฐานะปานกลางมีเป็นหย่อมๆ แต่ค่านิยมทุกชนชั้นดันเหมือนกัน สังคมให้ความสำคัญกับคนมีเงิน จะเงินสด เงินบัตร เงินกู้ สังคมไม่รับรู้ ขอแค่มีเงิน มีบัตร คุณคือคนที่คู่ควร ทำให้หลายๆคนต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนทำชีวิตให้ทัดเทียมคนอื่นๆในด้านที่ผิดเช่น เป็นหนี้บัตรเพราะของแบรนด์เนม เป็นหนี้บัตรเพราะกินหรูเที่ยวหรู เป็นหนี้บัตรเพราะตามเพื่อน หลายๆปัจจัยที่สังคมปัจจุบันหล่อหลอมให้คนเป็นหนี้มากขึ้น คนที่เป็นหนี้ฟุ้งเฟ้อกลับถูกมองว่ามีค่า มีเกียรติ มันช่างตลกร้ายเสียจริงๆ
ส่วนคนจนๆที่เป็นหนี้เพราะรายได้น้อยไม่พอกับภาระครอบครัว ต้องกู้หนี้มาให้ลูกเรียน ต้องกู้หนี้มาจ่ายค่ายา ค่าหมอ และอีกจิปาถะ บางคนไม่แม้แต่จะกินเหล้า หรือ เล่นการพนัน คนกลุ่มนี้กลับถูกมองว่าด้อยค่า และไม่มีศักดิ์ศรี เป็นภาระของสังคม ชีวิตบัดซบดีไหมล่ะ
ถึงเวลาหรือยังที่เราควรจะปรับทัศนคติทางการเงินของตัวเอง เลิกฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย รู้จักคำว่าพอเพียง พอดี แบ่งปัน ประหยัด อดออม เอื้อเฟื้อ หากเราสามารถทำได้ เริ่มจากตัวเราเอง เริ่มจากครอบครัวเราเอง ไม่ต้องคิดไปไกลระดับประเทศ แค่เราและครอบครัวเราทำได้ อยู่อย่างพอเพียง ใช้แต่พอดี มีเงินเก็บ ลูกหลานเราที่เกิดมาจะไม่มีคำว่าแบกภาระหนี้สินของครอบครัวมาด้วย หากทุกๆครอบครัวทำได้ คำว่า ชีวิตหนี้ จะหมดไปจากสังคมไทย แม้ว่ามันอาจจะนานแต่อย่างน้อยๆครอบครัวเราเองก็จะไม่เจอกับคำว่า ชีวิตหนี้ แน่นอน