ความเชื่อของคนเราเริ่มต้นจากคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ญาติและเพื่อนฝูง ตลอดจนคุณครู หัวหน้า ลูกน้อง และเพื่อนร่วมงาน เมื่ออยู่ด้วยกัน นานเข้าก็รับเอาความคิดความเชื่อนั้นมาเป็นของตนเองด้วย ยกตัวอย่างถ้าพ่อแม่เชื่อเรื่องดวงและโหราศาสตร์ ทำอะไรแต่ละครั้งจะต้องให้อาจารย์ดูฤกษ์ดูยามให้ จะตัดผมวันไหน จะสระผมวันไหน เกิดปีลิง ปีไก่ ห้ามใส่เสื้อสีอะไรบ้าง เมื่อได้ยินพ่อแม่ปลูกฝังแบบนี้ทุกวัน ในที่สุด ลูกก็จะเชื่อตามนั้นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย หรือถ้าหัวหน้าชี้นำให้เราทำงานเป็นลูกน้องต่อไป ดีกว่าที่จะไปทำธุรกิจของตัวเอง เพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน พูดกรอกหูทุกวันหรือทุกครั้งที่มีโอกาส เราก็จะเชื่อว่าเป็นลูกน้องปลอดภัยที่สุด ซึ่งหากเราจะเชื่อตามนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่ออะไรก็ได้ หากไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม
แต่ความรู้ นั้นจะแตกต่างกับความเชื่อโดยสิ้นเชิง
เมื่อเราคุ้นเคยกับเรื่องบางเรื่องหรืองานบางอย่าง อย่างลึกซึ้ง เราจะมีความมั่นใจในความรู้นั้น ว่าสามารถนำมาใช้ได้ นำมาทำให้ประสบความสำเร็จได้ แม้บางทีอาจจะอธิบายเรื่องเหล่านั้นให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ตาม แต่ความรู้ดีและรู้จริงที่เกิดอยู่ในตัวเรา จะคอยบอกให้เราทำตามเสียงเรียกร้องและพร่ำบอกอยู่ลึกๆข้างใน คนทุกคนมีความฝันของตัวเอง มีความหลงใหลที่จะตามหาอะไรบางอย่างที่เป็นสิ่งที่เราชอบอยากทำ และอยากอยู่กับมันไปตลอดชีวิต แต่บ่อยครั้งต้องเสียสิ่งเหล่านั้นไป เพราะความเชื่อและเสียงเตือนจากคนรอบข้าง ความเชื่อเหล่านั้นจะชักจูงให้เราคิดว่า ความฝันของเราคงเป็นไปไม่ได้ หรือบอกว่ามันไม่เหมาะกับเราหรอก และเราก็จะหาข้ออ้างต่างๆนาๆว่า ความฝันของเราคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ เพราะไม่มีเวลา เพราะไม่มีเงิน เป็นต้น
แต่ถ้าเรายอมรับว่า ความรู้ สำคัญกว่าความเชื่อ
เราก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป ความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ สั่งสม ลงมือปฏิบัติจริงๆ จะทำให้เรามั่นใจ ออกก้าวเดินตามฝันนั้นได้อย่างไม่หยุดหย่อน ความสำเร็จจริงๆแล้วเกิดจากภายในตัวเรา ไม่ใช่สิ่งภายนอก ความสำเร็จนั้นจะเริ่มต้นจากการฟังเสียงของหัวใจตัวเอง เกิดจากเสียงเรียกร้องในใจ ว่าจะทำสิ่งใดได้ดี จะทำสิ่งใดได้อย่างมีความสุข สิ่งที่หัวใจพยายามบอก นั่นคือสิ่งที่เราต้องการทำมากที่สุด และเป็นเข็มทิศชี้เป้าให้เราก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้น ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่นำเราไปสู่ความยิ่งใหญ่ เราจะค้นพบความพิเศษของตัวเราเองที่ไม่มีใครเหมือน และจะนำพาเราไปพบกับความสำเร็จและความสุขพร้อมๆกัน มีคนมากมายที่เปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นอาชีพ และทำได้ดีมากๆ จนสุดท้ายกลายเป็นช่องทางทำมาหากินสายหลัก ใครๆก็สามารถทำแบบนี้ เพียงเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับความเชื่อว่า คนเรามีสิทธิเชื่ออะไรก็ได้ แต่ยังไงเสียความรู้ที่เราได้ทำมาจริงๆย่อมช่วยให้กรุยทางไปสู่ความสำเร็จได้มากกว่า
หลายคนได้ยินว่าเล่นหุ้นนั้นเป็นงานง่ายๆ ร่ำรวย สุขสบาย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ และเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ จากสื่อทีวี จากหนังสือ จากโลกโซเชี่ยล ที่พออ่านทุกวันก็เชื่อตามนั้นจริงๆ แล้วก็ตัดสินใจเข้าไปเล่นหุ้น ทุ่มหมดตัวทั้งๆที่ตัวเองยังไม่มีความรู้ ยังไม่มีความชำนาญ สุดท้ายก็ขาดทุนและต้องออกจากตลาดหุ้น แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนเป็นเล่นไป ศึกษาเรียนรู้ไป ก้าวไปทีละน้อยๆ ฟังเสียงหัวใจว่า การเล่นหุ้นนั้นใช่สิ่งที่เราอยากทำจริงๆหรือเปล่า หรือเราแค่อยากรวยเร็วๆ อยากมีเงินเยอะๆกันแน่ ถ้าเสียงข้างในบอกว่า ใช่แล้ว แนวทางนี้แหละฉันชอบ ก็ค่อยๆต่อยอดการเรียนรู้ให้ลึกซึ้งขึ้น แต่ถ้าเรารู้สึกเครียดตลอดเวลา ละสายตาจากจอหุ้นไม่ได้ กลัวเสียเงิน กลัวขาดทุน กลางคืนนอนไม่หลับ อยากรู้ว่าเช้ามาตลาดจะขึ้นหรือลง นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า การเล่นหุ้นคงไม่ใช่แนวทางของตัวเราแล้ว หรือเรากำลังเล่นหุ้นผิดวิธี
ดังนั้นหากจะตัดสินใจทำอะไร ให้เดินตามเสียงหัวใจและความรู้ของตัวเอง ไม่ใช่ไปฟังเสียงหรือรับเอาความคิดความเชื่อของคนอื่นมาปฏิบัติ หรือมาเป็นตัวชี้วัดตัดสินใจ เพราะคนเรามีความพิเศษต่างกัน ใครจะรู้ความต้องการนั้นมากกว่าไปกว่าตัวเราเอง ไม่มีหรอก ตัวเรารู้ดีที่สุด เรื่องบางเรื่องดูแล้วดี ดีมากๆ แต่มันไม่เหมาะกับตัวเราก็อย่าได้ฝืนไป เชื่อใจตัวเองดีที่สุด