มนุษย์เราทุกคนไม่ว่าอยู่ที่ซีกมุมไหนของโลกกลม ๆ ใบนี้ ก็ต่างได้รับแสงสว่างในยามเช้าจากพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน หรือในตอนกลางคืน เราก็ยังคงชื่นชมความงามของพระจันทร์ดวงเดียวกันอีก แต่ทำไมบางคนถึงได้รู้จักวิธีนำความร้อนที่ได้จากพระอาทิตย์มาแปลงเปลี่ยนเป็นพลังงานไว้ใช้ยามกลางคืน อะไรทำให้เกิดความแตกต่างกันค่ะ
“The future belongs to those who see possibilities before they become obvious.” – John Scully ได้กล่าวไว้ซึ่งสื่อความนัยว่า “อนาคตย่อมเป็นของผู้ที่มองเห็นโอกาสก่อนที่ความสำเร็จจะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น”
นับเป็นอีกหนึ่ง คำตอบเคล็ดลับของความสำเร็จในชีวิต ที่ชัดเจนมากประโยคหนึ่งทีเดียว ซึ่งก็คือ วิสัยทัศน์ หรือ มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั่นเองค่ะ เหมือนอย่างที่บางคนอาจจะมองเศษไม้เศษขี้เลื่อยเป็นแค่กองขยะไม่สามารถนำมาทำประโยชน์อะไรได้อีก ในขณะที่อีกคนกลับกวาดเศษไม้เหล่านั้น ไปทำเป็นเชื้อเพลิงต่อ หรือ บางรายก็นำไปอัดแท่งกลายเป็นพลังงานทดแทนที่มีมูลค่ามากขึ้น บางคนมองก้อนหินริมถนนเป็นสิ่งที่เหลือจากการก่อสร้าง แต่ในทางตรงกันข้ามอีกคนกลับเดินเก็บหินเล็ก ๆ เหล่านั้น ไประบายสีเป็นงานศิลปะที่งดงามสร้างมูลค่าให้กับก้อนหินน้อย ๆ พวกนั้น นี่แหละค่ะ ความแตกต่างทางมุมมองที่ทำให้ของรอบกายมีคุณค่ามากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เช่นเดียวกันกับผู้คนอย่างเรา ๆ ก็มีดีมีคุณค่าและความสามารถมากกว่าที่ตัวเราคาดคิดไว้ด้วยเช่นกันค่ะ
ตัวอย่างของคนที่ไขว่คว้าโอกาสมา ความสำเร็จธุรกิจ ไว้ในกำมือด้วยวิสัยทัศน์ของตนเองนั้น ก็คือ โฮวาร์ด มาร์ค ซูลต์ส (Howard Schultz) เจ้าของร้านกาแฟสตาร์บัคค์ ที่มาพร้อมกับโลโก้สีเขียวรูปนางเงือกมี และทำให้เขาขึ้นแท่นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับที่ 354 จากนิตยสารฟอร์บส์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 57,000 ล้านบาทค่ะ
ใครเลยจะคิดว่าคนที่เริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานขายเครื่องถ่ายเอกสารในวันนั้น มาถึงวันนี้เขาจะกลายเป็นเจ้าของร้านกาแฟผู้สร้าง ความสำเร็จธุรกิจ ไว้ในกำมือชื่อดังก้องโลกและมั่งคั่งทางการเงินได้มากขนาดนี้
ย้อนกลับไปมองช่วงวัยเด็กของโฮวาร์ดนั้น เขาเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ทำมาค้าขาย หรือมีความเกี่ยวข้องอะไรกับกาแฟเลยสักนิดค่ะ พ่อของโฮวาร์ดนั้นรับราชการเป็นทหารก่อนที่จะออกมารับจ้างเป็นพนักงานขับรถบรรทุก ส่วนแม่ของเขาก็เป็นแม่บ้าน ตัวเขาเองมีพี่น้อง 4 คน เขาเป็นคนโต มีน้องชาย 1 คนและน้องสาวอีก 2 คนค่ะ ความเป็นอยู่ในวัยเด็กจึงค่อนข้างลำบากซะด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคอะไรในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขามีมานะและตั้งใจเรียนหนังสือยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ เมื่อจบมัธยมปลาย โฮวาร์ดก็สามารถคว้าทุนโควต้านักกีฬาและได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่นอร์ทเทิร์น มิชิแกน เป็นคนแรกของครอบครัวด้วยนะคะ เมื่อจบระดับปริญญาตรีแล้ว งานแรกที่โฮวาร์ตทำก็คือการเป็นพนักงานขายให้กับบริษัท ซีร็อกซ์ จากนั้นก็เปลี่ยนมาทำงานที่บริษัทผลิตเครื่องชงกาแฟยี่ห้อแฮมมาร์พลาสต์ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ด้วยหน้าที่การทำงานที่นี่ ทำให้โฮวาร์ดได้รู้จักกับร้านผลิตเมล็ดกาแฟที่ชื่อสตาร์บัคส์ และได้รับโอกาสให้เข้ามาร่วมงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของสตาร์บัคค์ ซึ่งทำให้เขาต้องเดินทางไปดูงานในสถานที่ต่าง ๆ และรวมถึงกรุงมิลาน ประเทศอิตาลีด้วยค่ะ
สิ่งที่โฮวาร์ดพบเห็นระหว่างการศึกษาดูงานเมล็ดกาแฟก็คือซุ้มร้านกาแฟจำนวนมากที่ตั้งขายกันแทบจะทุกหัวถนน ที่สำคัญมากไปกว่าจำนวนร้านกาแฟก็คือผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละร้านนั้น ดูจะไม่ได้บางตาเลยซะนิดด้วยค่ะ เขาเริ่มจับสังเกตและพบว่าผู้คนมาที่ร้านกาแฟเพื่อดื่มกาแฟรสชาติดี ๆ ควบคู่ไปกับการได้นั่งคุยพบปะเพื่อน หรือ เจรจางานไปพร้อม ๆ กัน จากจุดนี้เองทำให้เขารู้ทันทีว่าน่าจะมีร้านกาแฟไม่ต่ำกว่า 2 แสนร้านค้าในกรุงมิลานแน่ ๆ และนี่คือโอกาสของธุรกิจที่น่าสนใจมาก เขาจึงได้นำโปรเจคนี้ไปเสนอต่อบริษัท แต่กลับไม่ได้รับการอนุมัติ
โฮวาร์ดเชื่อในสัญชาตญานและมุมมองของตนเอง ดังนั้นเขาจึงริเริ่มเปิดร้านกาแฟของตัวเองในชื่อว่า อิล จอร์นาล ซึ่งเป็นชื่อของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของมิลานเอง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในอีก 2 ปีถัดมา หรือในปี 1987 เมื่อสตาร์บัคค์ตัดสินใจขายกิจการร้านกาแฟให้กับเขาด้วยยอดเงินมูลค่า 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และโฮวาร์ดก็ตัดสินใจซื้อทันทีเพื่อให้ได้มาทั้งชื่อร้านกาแฟสตาร์บัคค์และรวมถึงวัตถุดิบชั้นเลิศอีกด้วย การขยายสาขาของสตาร์บัคค์หลังจากนั้นอาศัยมุมมองอันเฉียบขาดของโฮวาร์ดและกลยุทธ์ด้านทำเลที่ตั้งบวกกับรสชาติกาแฟจากเมล็ดพันธุ์ดี ๆ ก็ทำให้ร้านกาแฟที่ชื่อสตาร์บัคค์สามารถครองตลาดและกลายเป็นที่ประชุมงานของผู้คนจำนวนมากได้ไม่ยากเลยค่ะ
หากในวันนั้น โฮวาร์ดพับปิดโครงการเปิดร้านกาแฟทิ้งไปตามเสียงและความเห็นของผู้บริหารเดิม วันนี้ก็คงจะไม่มีร้านกาแฟสตาร์บัคค์ที่เป็นขวัญใจคอกาแฟทั่วโลก บทสรุปในความสำเร็จของคน ๆ หนึ่ง จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา หรือ ความมานะขยันขันแข็งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการตีโจทย์ของสิ่งรอบ ๆ ตัวที่เราพบเห็นให้แตกต่างอีกด้วยต่างหากหล่ะค่ะ
ที่มารูป : aib.edu.au