หลายต่อหลายครั้งที่คุณ ๆ ได้ยินข่าวรายงานว่ามหาเศรษฐีคนนั้นมีทรัพย์สินมากมายเป็นพัน ๆ ล้าน หรือเจ้าสัวคนโน้นมีรายได้ต่อปีเป็นหมื่น ๆ ล้านบาทนั้น คุณ ๆ เคยนึกสงสัยกันบ้างมั๊ยคะ ว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีสามารถในการสร้างเม็ดเงินให้กับตัวเองและครอบครัวได้มากมายขนาดนั้น พวกเขาทำบุญกันมาแต่ชาติไหนปางไหนนะเนี่ย และก็พาให้สงสัยต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้พวกเขาทำบุญด้วยอะไรกันนะถึงได้ประสบความสำเร็จสูงขนาดนี้ ว่าแล้วบางคนก็อาจจะเดินหน้ามองแผง เลือกที่จะเสี่ยงโชคกันสักหน่อย เผื่อว่าวันพรุ่งนี้จะได้รวยอย่างใครเขาบ้าง ซึ่งอันที่จริงบุคคลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงอย่างที่เราเห็น ๆ นั้น เขาเองก็ไม่ได้มีชีวิตที่ราบรื่นไปเสียทุกอย่างหรอกค่ะ อุปสรรคและความล้มเหลวเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คน แล้วอะไรกันนะที่เป็นตัวผลักดันและส่งเสริมให้คน ๆ หนึ่งก้าวขึ้นสู่จุด ความมั่งคั่ง ทางการเงินและขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีระดับโลกได้ค่ะ
อย่างเช่นเรื่องราวของแจ็ค หม่า ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ก้าวข้ามความล้มเหลวมาก่อนเช่นเดียวกันกับคนทั่ว ๆ ไป ถ้าจะมีความแตกต่างกันก็อยู่บ้างก็คงเป็นเพราะแจ็ค หม่า ไม่ได้หยุดหรือล้มเลิกความตั้งใจของเขาเพียงเพราะอุปสรรคตรงหน้าค่ะ ย้อนกลับไปในช่วงปีค.ศ. 1955 ตอนนั้นแจ็ค หม่ายังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและเขาก็นิยมชมชอบการใช้สื่ออินเตอร์เนตมาก ๆ ค่ะ ดังนั้นเมื่อเขาได้มีจังหวะกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด เขาก็ดึงเอาแรงบันดาลใจนั้นมาสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา โดยก่อตั้งบริษัทขึ้นมา 2 บริษัทด้วยกันค่ะ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือธุรกิจพวกนั้นของเขากลับล้มเหลวเจ๊งไม่เป็นท่าไปอย่างน่าเสียดายค่ะ ด้วยความอยากเอาชนะและความเชื่อว่าเขาต้องทำได้สิ เขาจึงเดินหน้าทำเว็บสำหรับขายของออนไลน์ที่ทั้งพ่อค้าแม่ค้าต่าง ๆ ก็สามารถนำของมาขายได้ง่าย ๆ เพียงแค่ถ่ายรูปสินค้าของตนและเขียนบรรยายคุณสมบัติของสินค้าเหล่านั้นลงไปในเว็บไซด์ด้วยตนเอง เป็นการเปิดช่องทางการค้าแบบใหม่ที่คนต้องการซื้อและคนอยากขายของสามารถเชื่อมต่อถึงกันโดยตรงด้วยการคลิ๊ก ๆ กด ๆ บนหน้าเว็บไซด์ จนถึงวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเว็บไซด์ขายของชื่อดังอย่าง Alibaba แน่นอนค่ะ การเดินทางสู่ ความมั่งคั่ง ทางการเงินของหม่า เป็นอีกหนึ่งคำตอบชัด ๆ ว่า ถ้าคุณไม่หยุดยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาวัดใจคุณไปสักก่อน สักวันคุณต้องถึงเส้นชัยแน่ ๆ ค่ะ
หรือแม้แต่ แจน คูม (Jan Koum) ผู้สร้าง Application ชื่อดังบนโทรศัพท์มือถืออย่าง Whatsapp ที่ทำให้เรื่องการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชั่นการบันทึกรายชื่อเพื่อน ๆ หรือคนในครอบครัวพร้อมกับการแจ้งสถานะของแต่ละคน และคุณสามารถรู้ด้วยว่าตอนนี้คู่สนทนาของคุณอยู่ที่ไหน เมื่อสำเร็จไปหนึ่งก้าวแล้ว เขาก็คิดต่ออีกว่าระบบ Whatsapp น่าจะต้องมีฟังก์ชั่นหรือฟีคเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การแจ้งเตือนข้อความอัตโนมัติ หรือ การตอบกลับให้รู้ว่าคู่สนทนาติดสายหรือไม่สะดวกพูดคุยค่ะ ถ้าถามว่าความสำเร็จของ แจน คูม ได้มาง่าย ๆ อย่างที่เราใช้ whatsapp คุยงานกับลูกค้าในต่างประเทศอย่างนั้นหรือเปล่า คำตอบคือไม่ เพราะช่วงเวลาที่คุณไม่ได้เห็นคือช่วงเวลาที่แจน คูมต้องคอยอัพเดตและปรับปรุง application หลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะออกมาให้เราได้ใช้งานง่าย ๆ แบบนี้ค่ะ การไม่หยุดพัฒนาต่างหากหล่ะคะ ที่ทำให้เขาพบกับ ความมั่งคั่ง ทางการเงินก่อนคนอื่น แล้วคุณหล่ะคะ จะช้าอยู่ทำไม Keep developing ค่ะ
มาต่อกันที่ นิค วู้ดแมน หนุ่มคนนี้บางคนได้ยินชื่อของเขา อาจจะงง ๆ เขาคือใครกันนะ แต่ถ้าได้ยินชื่อสินค้าของเขาเป็นต้องร้อง “อ๋อ” ออกมาโดยพร้อมเพรียงแน่ ๆ ค่ะ เพราะหนุ่มน้อยเศรษฐีคนล่าสุดก็คือเจ้าของกล้องถ่ายรูปสุดจี๊ดยอดฮิตของคนพ.ศ.นี้ ซึ่งก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก “กล้องถ่ายรูป GoPro” นั่นเองค่ะ ไอเดียกล้อง GoRro นั้นเท่ากับเป็นการปลดกฎเกณฑ์เงื่อนไขของกล้องถ่ายรูปไปเลย หรือจะเรียกว่าเป็นอีกครั้งที่กล้องถ่ายรูปถูกเปลี่ยนโฉมก็ได้ค่ะ จุดกำเนิดของนวัตกรรมนี้ก็มาจากการที่นิคต้องการให้บรรดานักกีฬาโต้คลื่นได้เก็บภาพตัวเองขณะโต้คลื่นยักษ์ได้อย่างสวยงาม โดยนิคต้องใช้เวลาคิดค้น, ศึกษาหาข้อมูลและวิเคราะห์ต่าง ๆ อยู่หลายปีกว่าจะได้วิธีที่จะติดที่ยึดกล้องให้เข้ากับอุปกรณ์ที่นักกีฬาทางน้ำนิยมใช้กัน เช่น หมวกกันน็อก, บนสเกตบอร์ด, บนเจ็ตสกี หรือจะเป็นกีฬาผาดโผนอื่น ๆ อย่างเช่น หน้ารถแข่ง และหน้ารถมอเตอร์ไซค์ค่ะ จนในที่สุด กล้อง GoPro เวอร์ชั่นแรกก็ออกสู่ตลาดจนผู้คนต่างพากันหลงใหลคลั่งไคล้อย่างทุกวันนี้ค่ะ ไอเดียดี ๆ ที่ถูกจุดประกายขึ้นมา แต่ถ้าขาดความมุ่งมั่น จริงจังจากเจ้าของไอเดีย ๆ นั้นก็คงเป็นแค่ควันที่ลอยในอากาศสักพักก็จางหายไปค่ะ และบทพิสูจน์เส้นทางเศรษฐีของนิคก็คือ ความตั้งใจจริงของเขา ทีนี้ คุณ ๆ จะมัวรีรออะไร ถ้าครั้งนี้สิ่งที่ทำยังไม่สำเร็จก็ค่อย ๆ ลุยกันต่อไป เพราะไม่มีชีวิตของใครที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทางหรอก จริงมั๊ยคะ