คนรุ่นใหม่มักมีค่านิยมผิดๆที่ส่งผลต่อสถานภาพทางการเงิน ทำให้เกิดสภาวะหนี้เสียล้นประเทศ เนื่องมาจากการใช้จ่ายเกินรายได้จนต้องกู้ยืมยอดเงินจากบัตรเครดิต แล้วเข้าสู่วงเวียนการใช้คืนอย่างไม่รู้จบ ซึ่งกว่าจะเป็นไทแก่ตัว ก็มีอายุที่มากขึ้นจนเก็บเงินไม่ทันแล้ว ดังนั้น หากคุณ อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ก็จงสร้างนิสัยดังต่อไปนี้
1. อิสระจากสังคม ปรับลดค่านิยมผิดๆ
อย่ายึดติดกับเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่เน้นการแต่งตัวให้เหมาะสมกับบุคลิกและถูกกาลเทศะ บางครั้งเสื้อผ้าที่สวยและดูดีเหมาะกับคุณ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีราคาแพงเสมอไป ผู้บริหารระดับสูงที่เลือกใช้สินค้าติดแบรนด์ เขาก็เลือกเฉพาะสินค้าที่ผ่านการตัดเย็บมาอย่างดี เนื้อผ้าดี คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปและสวมใส่ได้นานๆ ผิดกับคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจผิดๆ ว่ารสนิยมที่ดี ต้องเลือกซื้อเฉพาะสินค้าราคาสูงเท่านั้น
เราไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศให้คนในสังคมรับรู้ฐานะ ด้วยการสวมใส่เครื่องประดับทองคำ หรือเครื่องเพชรราคาแพงๆ หิ้วกระเป๋าราคาเรือนแสน จำไว้ว่าในยามที่เราตกอับ สังคมไม่ได้ช่วยเรา บางครั้งอาจซ้ำเติมเลยด้วยซ้ำ
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าร้านอาหารหรูๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองมีระดับ แค่ทานอาหารที่มีประโยชน์ แวะทานอาหารราคาแพงเพื่อให้รางวัลแก่ตัวเองในโอกาสพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าของกิจการ พาลูกน้องไปเลี้ยงอาหารตามร้านหรูๆเพราะต้องการขอบคุณลูกน้องที่ช่วยกันทำงานหนัก ไม่ได้พาไปเพื่ออวดว่าฐานะร่ำรวย เป็นต้น
2. ใช้เงินเพื่อลงทุน
คิดง่ายๆว่า ทุกครั้งที่เราใช้เงิน นั่นคือการลงทุนในรูปแบบหนึ่ง จงพิจารณาให้มากว่าสิ่งที่เรากำลังจะเสียเงินให้กับมัน จะเป็นประโยชน์กับเราในอนาคตหรือเปล่า หาไม่เกิดประโยชน์ก็ควรหยุดไว้ก่อน พิจารณาให้ดีว่าเงินที่เสียไปจะคุ้มค่ากันหรือเปล่า เพื่อจะได้ไม่เสียเงินไปฟรีๆโดยเปล่าประโยชน์นั่นเอง
เช่นเราเสียค่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตต่อเดือนไปเพื่ออะไร ถ้าเสียเพราะคุณมีร้านค้าออนไลน์ ต้องใช้สัญญาณเหล่านี้ในการขายของหรือติดต่อลูกค้า แบบนี้เรียกว่าใช้จ่ายเพื่อลงทุน หากใช้สัญญาณเพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตแนวบันเทิง อย่างนั้นเรียกว่าเกินความจำเป็น หรือหากต้องการซื้ออะไรสักอย่างที่ไม่จำเป็น ก็ลองพิจารณาดูว่าสิ่งนี้จะก่อให้เกิดรายได้กับเราได้หรือไม่ หรือซื้อไปแล้วก็แค่เอาไปเก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งมีราคาแพงด้วยแล้วยิ่งไม่ควรซื้อเลยค่ะ
3. เงินต่อเงิน ยิ่งใช้ต้องยิ่งได้
ทุกครั้งที่คุณใช้เงิน คุณจะต้องได้เงินหรืออะไรกลับคืนมา เช่นซื้ออาหารทาน คุณก็ต้องได้สุขภาพที่ดีและความสุขในการทาน หรือเลี้ยงอาหารเพื่อนๆ ในอนาคตเพื่อนๆอาจเป็นคนแนะนำแหล่งรายได้อื่นๆให้คุณได้ เป็นต้น
ควรใช้เงินเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ของตัวเอง เช่น เรียนต่อปริญญาโท เรียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เรียนตัดเสื้อ เรียนภาษาต่างประเทศ อบรมการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆที่สามารถนำมาเป็นรายได้ในอนาคตได้ อย่างนี้เรียกว่าลงทุนกับตัวเองอย่างชาญฉลาด
เราคงไม่รวย ถ้ามัวแต่เก็บเงินเพียงอย่างเดียว ต้องรู้จักใช้เงินเพื่อการลงทุน สร้างรากฐานอนาคตเพื่อการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่อาจจะรอคุณอยู่ปลายทาง อาชีพหลักของเราอาจจะทำเงินให้เราคงที่ทุกเดือน เราก็จะยังคงได้เงินคงที่เท่านั้น แต่หากเราลองเอาเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยขึ้นมา ก็ยังจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกมากมายทีเดียว เพราะฉะนั้นลองใช้เงินต่อเงินเพื่อให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นกันดูนะคะ
4. อยู่อย่างสมถะและอ่อนน้อม
สังคมมีส่วนช่วยสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ดี การอ่อนน้อมถ่อมตนจะช่วยให้คุณได้รับโอกาสและพบหนทางที่ดีกว่าอยู่เสมอ เช่น อาจมี่คนแนะนำการเล่นหุ้นให้กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาและเงินทองในการลองผิดลองถูก ความอ่อนน้อมช่วยให้หัวหน้างานรู้สึกเอ็นดูและปรับเพิ่มเงินเดือนคุณเป็นพิเศษช่วงปลายปี เป็นต้น
ความสมถะคือการอยู่อย่างสามัญ รู้จักพอใจในสิ่งที่คุณมีอยู่และไม่ต้องการแสวงหาเพิ่มเติมถ้าเกินความจำเป็น คุณจะงดนิสัยฟุ้งเฟ้อได้ถ้าคุณรู้จักพอ และหันมาใช้ข้าวของที่ดูดีมีรสนิยมแต่ราคาย่อมเยาแทนสินค้าแบรนด์เนมที่แพงเพียงเพราะค่าดีไซน์ เป็นต้น นอกจากนี้การอยู่อย่างสมถะยังลดความอยากได้อยากมีตามเพื่อนซึ่งไม่จำเป็นต่อตัวคุณอีกด้วย ทีนี้คุณก็จะมีเงินเหลือเก็บและควบคุมการใช้จ่ายของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ
หวังว่าแนวคิดทั้งสี่ข้อนี้จะเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการใช้ชีวิตในวันต่อๆไปของคุณ อย่าลืมว่าสภาวะเศรษฐกิจนั้นไม่มีความแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น คุณจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมในทุกๆวัน เพื่ออิสรภาพทางการเงินที่คุณปรารถนา บางคนมีงานประจำได้เงินเดือนมั่นคงทุกเดือน อยู่มาวันหนึ่งก็อาจจะถูกไล่ออกจากงานก็ได้ หรือบางคนมีอาชีพอิสระ มีลูกค้ามากเป็นประจำ วันหนึ่งลูกค้าอาจจะค่อยๆ หายไปจนเหลือลูกค้าแค่ไม่กี่คน ซึ่งก็จะทำให้รายได้ลดน้อยลงด้วย ดังนั้นจึงควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด และควรเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อจะได้เตรียตัวรับมือกับนาคตข้างหน้าที่ไม่อาจรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง