คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า คนที่เรียนเกี่ยวกับการลงทุนมาด้วยกัน ตำราก็ใช้เล่มเดียวกัน คนสอนก็คนเดียวกัน ความรู้ก็พอๆ กัน แต่ทำไมจึงถึงมีแค่บางคนเท่านั้น (และเป็นคนส่วนน้อยด้วย) ที่จะสามารถ ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในขณะที่ใครหลายๆ คน ยังคงล้มเหลวในการลงทุนอยู่ร่ำไป
แน่นอนว่าความรู้เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าคุณไม่มีความรู้อะไรเลย คุณย่อมหาทางที่จะทำเงินจากอะไรก็ตามได้ยาก เพียงแต่ว่าแค่คุณรู้วิธีการหาเงิน ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนเสมอไป
ถ้าอย่างนั้น แล้วอะไรกันล่ะที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุนได้?
จริงๆ แล้ว การที่จะ ประสบความสำเร็จในการลงทุน ได้นั้น คุณต้องมี 3 เสาหลักที่สำคัญ ดังนี้
1. วิธีการ (Method) :
ได้แก่ ความรู้ในการหาเงินต่างๆ อย่างเช่น สมมติว่าคุณสนใจการลงทุนในหุ้น คุณก็ไปหาความรู้เกี่ยวกับวิธีการที่จะลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น เรียนรู้ในเรื่องของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การอ่านงบการเงิน การวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค การใช้ Indicator ในการวิเคราะห์กราฟราคา เป็นต้น หรือถ้าคุณสนใจการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ คุณก็อาจจะต้องมีความรู้เรื่องการดูทำเล ความรู้ในเรื่องการกู้เงิน ฯลฯ เหล่านี้คือ วิธีการ (Method) แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่รู้วิธีการ คุณย่อมไม่รู้ว่าจะหาเงินได้อย่างไรด้วยเช่นกัน
2. การบริหารจัดการเงิน (Money Management) :
การบริหารจัดการเงิน คือ การที่คุณรู้ว่า เงินทุนคุณมีอยู่เท่าไหร่ (หน้าตักมีเท่าไหร่) จะใช้ในการลงทุนจำนวนเท่าไหร่ให้คุ้มค่า และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด รวมถึงต้องรู้ด้วยว่าเงินจำนวนเท่าไหร่ ที่เราจะสามารถรับความเสี่ยงได้สูงสุด
3. จิตวิทยาการลงทุน (Psychology) :
เราอาจจะใช้คำว่า Mindset ในการลงทุนก็ได้ ซึ่งมันก็หมายถึงความคิด (รวมถึงอารมณ์) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการลงทุนของเรา และการที่คนเรานั้นมาลงทุน แน่นอนว่าเราต่างต้องการได้เงิน ดังนั้นเราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เราทุกคนล้วนย่อมมีความโลภ โดยถ้าเราไม่รู้จักบริหารความโลภให้ดีล่ะก็ อารมณ์เหล่านี้มันมักจะเอาชนะเหตุผลได้อยู่ร่ำไป ซึ่งจนำเราไปสู่การขาดทุนได้ในที่สุด
คุณเห็นหรือไม่ว่าการที่เราจะ ประสบความสำเร็จในการลงทุน มันต้องมีองค์ประกอบทั้ง 3 เสาหลัก เหมือนเก้าอี้สามขา ถ้าขาดขาใดขาหนึ่งไป มันก็จะล้ม เราก็จะนั่งไม่ได้ แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มี มักจะมีแค่เสาเดียว คือ วิธีการ (Method) ที่เราเรียนกันมา หรือแม้แต่การอบรม สัมมนาต่างๆ มักจะสอนกันแต่เรื่องของวิธีการเท่านั้น เช่น ต้องเทรดหุ้นแบบนี้นะ ต้องใช้เครื่องมือนี้นะ ต้องใช้โปรแกรมนี้นะ ฯลฯ
เรื่องวิธีการนั้นใครๆ ก็สอนกันได้ เรียนรู้กันได้ ส่วนใหญ่ไม่ยากเกินความสามารถที่เราจะเรียนรู้กันได้ แต่เรื่องการบริหารจัดการเงิน (Money Management) และจิตวิทยาการลงทุน (Psychology) เป็นเรื่องที่สอนกันยาก เพราะมันมีเรื่องของประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เราสามารถย่นระยะเวลาการเรียนรู้วิธีการได้จากความรู้ของคนอื่นที่มีประสบการณ์มากกว่าได้ แต่กับการบริหารจัดการเงิน และจิตวิทยาการลงทุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาการลงทุน) เป็นสิ่งที่ควรต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ตนเอง ประมาณว่าต้องเจ็บเอง รู้เองนั่นแหละ ถึงจะจำขึ้นใจ
อ่านเพิ่มเติม >> 4 วิธี สร้างความสำเร็จในการลงทุน <<
ผมลองยกตัวอย่างให้ดูนะครับ
นาย ก. มีความรู้เรื่องการใช้กราฟ และการใช้ Indicator ต่างๆ เป็นอย่างดี นาย ก. มีงบอยู่ 10,000 บาท และตัดสินใจลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มีในครั้งเดียว เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้เป็นอย่างดี คำถามคือ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมันไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เมื่อเริ่มขาดทุน เขาก็ไม่ได้วางแผนการตัดขาดทุน (Cut Loss) เอาไว้ เมื่อเงินทั้งหมดที่มีเริ่มเสียไป สิ่งที่จะเสียไปด้วยก็คือ การบริหารจัดการเงิน (Money Management) และจิตวิทยาการลงทุน (Psychology) นั่นเอง การลงทุนด้วยเงินจำนวนเงินทั้งหมดที่มี แสดงว่าเป็นเงินที่เขาไม่สามารถที่จะขาดทุนได้ นอกจากจะทนขาดทุนไม่ได้แล้ว ยังต้องการที่จะเอาคืนด้วย สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้การลงทุนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการพนัน ยิ่งไปกว่านั้นในทางกลับกัน ตอนที่ได้กำไรก็เกิดความโลภ ไม่ได้ทำการรักษากำไร (Take Profit) เอาไว้บ้าง หวังเอาเงินทั้งหมดที่ได้ไปลงทุนต่อ สุดท้ายเมื่อทุกอย่างมันผิดทาง ทุกสิ่งที่เขามีก็หายไปหมด
คุณรู้มั้ยครับว่าทำไมบ่อนการพนันต่างๆ ถึงรวยเอาๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าเขารู้ว่านักพนันที่เข้ามาเล่นนั้น ต่อให้ได้เงินเยอะมากเท่าไหร่ก็จะไม่หยุด จะหยุดก็ต่อเมื่อขาดทุนหมดตัว หรือแม้แต่หมดตัวแล้ว บางคนก็ยังกู้เงินมาเล่นก็ยังมี ดังนั้นถ้าในระยะยาวแล้วล่ะก็ คุณไม่มีทางชนะบ่อนได้หรอก เพราะทุนเขาหนากว่า คนที่จะหมดเงินก่อน ยังไงก็ต้องเป็นคุณนั่นแหละ ในการลงทุนถ้าหากคุณมีจิตวิทยาหรือมี Mindset แบบนักพนัน ไม่มีการวางแผนการตัดขาดทุน (Cut Loss) และไม่มีการรักษากำไร (Take Profit) เอาไว้บ้างเลย ปล่อยให้ความโลภอยู่เหนือเหตุผล สุดท้ายย่อมต้องหมดตัวแบบนักพนันแน่นอน
ทีนี้มาดูตัวอย่างนาย ข. อาจมีความรู้ไม่เท่ากับนาย ก. แต่มีการจัดสรรงบลงทุนเป็นอย่างดี มีงบอยู่ 10,000 บาท ลงทุนแค่ 5,000 บาท มีการวางแผนการตัดขาดทุน (Cut Loss) และรักษากำไร (Take Profit) อยู่เสมอ คุณจะเห็นว่านาย ข. มีการจำกัดความเสี่ยงไว้หมดแล้ว และที่สำคัญ เงินที่ลงทุนเป็นจำนวนเงินเพียงครึ่งเดียวของเงินที่ลงทุน ซึ่งถ้าเสียหมดก็ยังมีเงินทุนเหลืออยู่ แต่ถ้าได้กำไร ก็เอากำไรที่ได้ไปลงทุนต่อยอด ในระยะยาวนาย ข. ย่อมอยู่รอดในโลกแห่งการลงทุนได้ดีกว่านาย ก. แน่นอน ซึ่งสิ่งที่ทำให้นาย ข. ต่างจากนาย ก. ก็คือ การบริหารจัดการเงิน (Money Management) และจิตวิทยาการลงทุน (Psychology) ของเขาไม่ได้เสียไปนั่นเอง
การจะอยู่รอดบนโลกแห่งการลงทุน คุณต้องมีเสาหลักให้ครบทั้ง 3 เสาหลักครับ