สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว MoneyHub มาพบกับพี่หมีโกแบร์กันอีกแล้วนะครับ วันนี้พี่หมีเอาเรื่องราวมาฝากเกี่ยวกับบทเรียนดีๆ ทางการเงิน ที่สอดแทรกอยู่ในสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากๆ อย่าง “ภาพยนตร์” ที่เราดูกันนี่เองครับ เพราะบางครั้ง บทเรียนเหล่านี้ก็อยู่รอบตัวเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้น เรามาดูกันเลยครับว่า บทเรียนเรื่องการเงินจากภาพยนตร์เหล่านี้ มาจากเรื่องอะไรบ้าง และจะสอนอะไรเราบ้าง
-
The Money Pit
เรื่องแรกเป็นภาพยนตร์จากยุค 80 ครับ กับเรื่อง The Money Pit ที่นำแสดงโดยทอม แฮงส์ ชื่อดังนี่เอง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของคู่รักที่ต้องการซื้อบ้าน แต่กลับใช้การตัดสินใจที่ใช้อารมณ์ มากกว่าการตัดสินใจด้วยเหตุผล พวกเขาเลือกที่จะซื้อบ้านหลังหนึ่ง เพียงเพราะชื่นชอบพอใจกับเซลส์ขายบ้าน โดยที่ไม่ได้ทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านหลังนี้มากเพียงพอก่อนการตัดสินใจ และในที่สุด เงินที่หามายากลำบากก็ต้องมาเสียกับค่าซ่อมแซมบ้านนั่นเอง
บทเรียนที่ได้รับ
หากคุณจะซื้อบ้าน โดยเฉพาะบ้านหลังแรก หาข้อมูลให้เพียงพอ ทั้งตัวบ้าน วัสดุ แบบ Developer หรือบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ รวมไปถึงขั้นตอนการซื้อบ้านด้วย อย่าตัดสินใจซื้อบ้านโดยใช้อารมณ์เด็ดขาดนะครับ ไม่เช่นนั้นเพื่อนๆ จะลงเอยแบบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน (ขอบคุณภาพจาก MTV)
-
Wall street
ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในปี 1987 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโบรกเกอร์ขายหุ้นที่ Wall Street นำแสดงโดยชาร์ลี ชีน ที่เป็นเพียงพนักงานที่พึ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ แต่หลงใหลในการใช้ชีวิตหรูหรา อู้ฟู่ของคนที่ทำงานในตลาดหุ้น Wall Street อาทิ ต้องอยู่ในที่พักอาศัยที่หรูหราเกินตัว ซื้อของแพงๆ มาใช้ แต่รายได้ที่เขาหามาได้นั้น ไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มีได้ และในที่สุดเขาก็ต้องหันไปทำสิ่งที่ผิดต่อวิชาชีพ นั่นคือ Insider trading ด้วยการนำข้อมูลความลับของบริษัทต่างๆ ไปเอื้อประโยชน์ในการค้าขายหุ้นนั่นเอง
บทเรียนที่ได้รับ
เงินที่หามาได้จากการทำงานโดยสุจริต จะดีที่สุดครับ จะทำให้เราอยู่ได้ยาว ตราบเท่าที่เราใช้เงินไม่เกินตัว รู้จักเก็บออมเงิน ดังคำสุภาษิตไทยที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” นั่นเองครับ (ขอบคุณภาพจาก My start up world)
-
The Untouchables
อีกภาพยนตร์รุ่นเก่าแต่น่าหามาดูอีกเรื่องครับกับเรื่อง The Untouchables เป็นภาพยนตร์ในปี 1987 นำแสดงโดย Robert De Niro บอกเล่าเรื่องราวของ Al Capone เจ้าพ่อมาเฟียยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ว่าตำรวจ FBI ของสหรัฐฯ จะพยายามล้างบ้างด้วยข้อหาฆาตรกรรม และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ มากมาย แต่เขาก็รอดทุกที แต่สุดท้ายดันมาตกม้าตาย กับเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้เขาโดยจำคือเรื่อง “เลี่ยงภาษี” เพราะมีเอกสารถูกเปิดเผยออกมานั่นเอง
บทเรียนที่ได้รับ
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้มาก หรือรายได้น้อย การเลี่ยงภาษีไม่ยอมจ่ายคือสิ่งที่ผิดกฎหมายนะครับ และจะทำให้คุณต้องเจอปัญหาตามมา ถูกปรับ ถูกดำเนินคดีได้ เพราะฉะนั้น เมื่อทำงานอย่างถูกต้องสุจริตแล้ว ก็อย่าลืมยื่นภาษีตามกฎหมาย เพื่อแสดงความโปร่งใสในที่มาของรายได้ และภาษีที่เราต้องจ่ายเพื่อประเทศกันด้วยนะครับ (ขอบคุณภาพจาก Fanart)
-
The Social Network
ภาพยนตร์ชื่อดังในปี 2010 ที่บอกเล่าเรื่องราวของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่อาจจะขโมยไอเดียนี้มาจากสองพี่น้อง the Winklevoss ซึ่งจ้างเขามาสร้างเว็บไซต์ Social Network ที่มีความคล้ายคลึงกับเฟซบุ๊ก แต่เนื่องด้วยว่า สองพี่น้องและนายมาร์ก ไม่ได้มีสัญญาว่าจ้างงานที่ชัดเจน และไม่ได้มีการระบุถึงเรื่องของสิทธิบัตรทางความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเว็บไซต์ว่าเป็นของใครอีกด้วย นั่นทำให้เรื่องราวต้องจบลงด้วยการฟ้องร้องเสียเงิน เสียทองกันยกใหญ่ เพื่อตัดสินว่า คนที่ว่าจ้าง หรือคนที่คิดค้นผลงาน และสร้างผลิตภัณฑ์นั้น ใครถูกกันแน่
บทเรียนที่ได้รับ
หากคุณกำลังคิดจะทำธุรกิจ เปิดบริษัท เสียสละเวลาศึกษาเรื่องกฎหมายสักนิด เพราะมันมีความสำคัญมากกว่าที่คุณคิด มิฉะนั้น อาจจบลงด้วยการเสียทั้งเงินทองเสีย เสียเวลา เสียชื่อเสียง รวมถึงเสียทั้งบริษัทเลยก็มี (ขอบคุณภาพจาก We are movie geeks)
-
The Wolf Of Wall Street
มาถึงเรื่องสุดท้ายกันแล้วครับ กับภาพยนตร์คุณภาพเมื่อปี 2013 กับ The Wolf of Wall Street ที่บอกเล่าเรื่องราวของ Jordan Belfort โบรกเกอร์ขายหุ้นที่นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio ที่เป็นนักขายที่เก่งมาก สามาถขายได้ทุกสิ่ง และเมื่อเขามาขายหุ้น เขาตั้งหน้าตั้งตาหายหุ้นให้ลูกค้า โดยไม่สนใจว่าลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหรือไม่ และผลสุดท้าย เขาสามารถหลอกลวงลูกค้าให้ซื้อหุ้นตัวที่แย่ แต่พูดหลอกจนลูกค้าหลงเชื่อว่าหุ้นตัวนั้นจะทำให้พวกเขารวยเละได้ และทำให้นาย Belfort กลายเป็นโบรกเกอร์ที่รวยที่สุดใน Wall Street จากค่าคอมมิชชั่นก้อนโตนั่นเอง
บทเรียนที่ได้รับ
หากคุณคิดจะเล่นหุ้น อย่าหลงเชื่อคำพูดของคนอื่นมากจนเกินไป โดยไม่เช็คให้ดีว่าโบรกเกอร์ที่เชียร์คุณให้ซื้อนั่นสามารถเชื่อใจได้หรือไม่ การตัดสินใจเรื่องการลงทุน อย่าเอาอารมณ์ และความคาดหวังในผลกำไรมาตัดสินใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องศึกษา หาข้อมูลให้ถ้วนถี่ก่อนเสมอนั่นเองครับ จงคิดเสมอครับว่า ตราบเท่าที่โบรกเกอร์เหล่านั้น กินเงินจากค่าคอมมิชชั่น เขาจะมาโปร่งใสกับเรา 100% ได้อย่างไร (ขอบคุณภาพจาก SCMP)
หวังว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จะให้ข้อคิดดีๆ เรื่องการเงิน และการลงทุนกับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู จะจดรายการไป และไปหาดูพี่หมีก็ไม่ว่านะครับ และถ้าหากเพื่อนๆ สนใจเรื่องราวดีๆ แบบนี้อีก แวะเวียนไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของพี่หมีโกแบร์ได้นะครับ