การทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของคู่สามีภรรยา และทำให้หลายคู่ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้างมาแล้ว ในบทความนี้เราจะไปดูว่าอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งนี้ และเราควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องการเงินมาทำลายความสัมพันธ์ของเรา
-
เงินฉัน เงินเขา เงินเรา
ในบางคู่ ทั้งสองคนต่างก็ทำงาน และไม่มีเวลามาตกลงกันเรื่องการเงิน จึงลงเอยด้วยการหารกัน หรือแบ่งกันออกเงินอย่างยุติธรรม ส่วนเงินที่เหลือก็สามารถใช้ตามใจแต่ละคนได้ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นแผนที่ดี แต่กระบวนการนี้มักจะทำให้เกิดความไม่พอใจเกี่ยวกับการซื้อของของอีกฝ่าย และยังเป็นการแบ่งอำนาจการใช้จ่าย ทำให้คุณค่าทางการเงินที่ควรมากับการแต่งงานหายไปอย่างมาก รวมถึงความสามารถในการวางแผนอนาคตระยะยาว เช่น ซื้อบ้าน หรือเป็นกองทุนไว้ใช้ตอนเกษียณ นอกจากนี้ อาจเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งซ่อนเงินไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ และยังเป็นภาระเมื่อมีใครตกงาน ออกมาเลี้ยงลูก หรือมีเหตุให้ไม่มีรายได้เหมือนเคย คู่รักต้องคุยกันในเรื่องเหล่านี้ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น
-
หนี้สิน
หากฝ่ายหนึ่งมีหนี้สินติดตัวมามากกว่าอีกฝ่าย อาจเป็นเหตุให้ทะเลาะกันเมื่อคุยเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่าย และการจ่ายหนี้ คนที่อยู่ในสถานการณ์นี้อาจรู้สึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่าหนี้ที่มีมาก่อนการสมรส ถือเป็นหนี้ของคนนั้นคนเดียว ส่วนหนี้ที่เกิดหลังสมรส อาจเป็นหนี้ส่วนตัวของฝ่ายหนึ่ง เช่น หนี้ที่เกิดจากสัญญาค้ำประกัน หนี้เพื่อเลี้ยงดูภรรยาน้อย และสินเชื่อเพื่อประโยชน์ของฝ่ายเดียว หรือเป็นหนี้ร่วมของทั้งสองฝ่ายก็ได้ (ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายหนี้ในประเทศไทยจากบทความเรื่อง เคล็ดลับ “แต่งงาน ไร้หนี้” ของคุณจิดาภา สีม่วง)
-
ลักษณะนิสัย
หากทั้งสองคนมีนิสัยต่างกันมาก เช่น คนหนึ่งเป็นนักออม ส่วนอีกคนเป็นนักช้อป ก็อาจทะเลาะกันได้ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องรู้นิสัยการใช้เงินของตัวเราเองและคู่ของเรา และคุยเรื่องความต่างนี้ ดูว่าอะไรเป็นนิสัยที่ไม่ดี และหาทางคุมไม่ให้เกินเลย
-
อำนาจนิยม
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำงาน มีรายได้น้อยกว่ามาก หรือมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า เช่น ที่บ้านอาจไม่รวยเท่า ในสถานการณ์เหล่านี้ ฝ่ายที่มีรายได้สูงหรือมีเงินมากกว่า อาจต้องการเป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้เงินไปกับอะไรเป็นอันดับต้นๆ ถึงแม้ว่าจะดูมีเหตุมีผล การที่ทั้งคู่ร่วมมือเป็นทีมเดียวกันนั้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญ และต้องทราบว่าถึงแม้จะเปิดบัญชีร่วม ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาอำนาจที่ไม่เท่าเทียมนี้ได้
-
บุตร
จะมีลูกหรือไม่มีดี คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามแรกๆ ที่คุยกัน ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก 1 คน (อายุ 0-14 ปี) ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1.57 ล้านบาท และนี่คือแค่ 14 ปีแรกเท่านั้น (ข้อมูลการประเมินต้นทุนการเลี้ยงลูกจากบทความเรื่อง ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตร (อายุ 0-14 ปี) ในประเทศไทย ของคุณเฉลิมพล แจ่มจันทร์ คุณสุภรต์ จรัสสิทธิ์ และคุณณัฐณิชา ลอยฟ้า มหาวิทยาลัยมหิดล)
การมีลูกนอกจากจะหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาแล้ว เรายังต้องคิดถึงสถานการณ์ที่หากใครคนใดคนหนึ่งไม่มีรายได้เท่าเดิม จะทำให้แผนการเกษียณ ไลฟสไตล์ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
-
ครอบครัวขยาย
การจัดการเรื่องการเงินในขณะที่ยังเคารพเป้าหมาย ความต้องการ และความคาดหวังของคู่สมรสเกี่ยวกับครอบครัวขยายไม่ง่ายสักทีเดียว หากคนหนึ่งนำเงินไปให้คุณพ่อคุณแม่เที่ยว อีกคนหนึ่งอาจคิดว่าทำไมไม่ใช้เงินนี้เที่ยวกันเอง ในทางกลับกัน หากพ่อแม่คนหนึ่งซื้อของขวัญราคาแพงให้หลาน แต่พ่อแม่อีกคนทำไม่ได้ ก็อาจทำให้ขุ่นเคืองได้เหมือนกัน
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้วิธีที่ดีที่สุดคือการคุยกันอย่างจริงใจ บอกความคาดหวัง เป้าหมาย และความกังวลให้อีกฝ่ายได้รู้ รวมทั้งเห็นอกเห็นใจและเข้าใจอีกฝ่าย
การแต่งงานกันมีข้อดีคือเหมือนเรามีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในขณะที่รายจ่ายไม่ได้เพิ่มเท่าตัวตาม หากทั้งสองคนมีเป้าหมายที่สอดคล้องกันแล้ว จะสามารถไปถึงเป้าหมายนั้นได้เร็วกว่าไปคนเดียวมาก อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะตกลงกันได้เรียบร้อย 99% แล้ว ไม่แปลกเลยถ้าจะยังคงทะเลาะกันเรื่องเงินในบางคราว ทางที่ดีควรคุยเรื่องนี้อย่างสม่ำเสมอ จริงใจ และไม่ตัดสินอีกฝ่ายล่วงหน้า เพื่อเช็คว่าเรากำลังเดินทางไปสู่เป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวอยู่หรือไม่
ที่มา: https://www.investopedia.com/articles/pf/09/marriage-killing-money-issues.asp
แปลและเรียบเรียงโดย มานี ปิติ