นับว่าเกือบจะเป็นคำถามโลกแตกกันไปอีกหนึ่งคำถามเสียแล้วนะครับ ณ ช่วงเวลาที่ทั่วโลกมีการแข่งขันสูงเช่นนี้ และประเทศไทยของเราเองก็เป็นประเทศที่ยังต้องพึ่งพา เศรษฐกิจ จากต่างประเทศค่อนข้างมากทั้งการนำเข้าหรือส่งออก จึงส่งผลกระทบกับปัญหาพื้นฐานหลักๆหลายอย่าง
เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งกรณีที่ข้าวของก็เริ่มแพงขึ้น เงินเท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าและของใช้อุปโภคบริโภคต่างๆได้น้อยลงกว่าเดิม ไข่แพง ข้าวแพง ผลไม้แพง ข้าวจานละ 40 บาทยังกินไม่ค่อยจะอิ่มเลย และในบางช่วงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชน คนธรรมดา มนุษย์เงินเดือน หาเช้ากินค่ำ ใช้แรงกายแลกเงินไปวันๆ ถามว่าจะดำรงชีวิตอยู่เช่นไร
ที่จริงแล้วบทเรียนในอดีตที่ผ่านมาก็ได้สอนอะไรหลายๆอย่างให้เราได้เรียนรู้กันอยู่เสมอนะครับ แต่ก็ยังมีคนที่หลงลืมกัน ยังใช้ชีวิตตามใจ หาความสุขแบบวันต่อวันกันอยู่ ซึ่งถ้าหากลองคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้านั้นเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย วันนี้ เศรษฐกิจ อาจจะดี พรุ่งนี้ เศรษฐกิจ อาจจะร่วงก็ได้ครับ ดังนั้น เราจึงไม่ควรประมาท ต้องคิดหาแผนสำรองไว้คอยรับมืออยู่เสมอ จึงต้องมาช่วยกันคิดหาแนวทางกันครับว่า ในช่วงที่อะไรๆก็แพงขึ้นนั้น เราจะทำอย่างไรกัน ใช้ชีวิตแบบไหน ถึงจะไม่เดือดร้อนมาก วันนี้เรามีคำตอบให้กับคุณแล้วครับ
1. รู้จักประมาณตนในการใช้จ่าย
ก่อนที่จะควักเงินออกจากกระเป๋าแต่ละที ควรคิดให้ดีดีก่อนครับว่า สิ่งที่เรากำลังจะแลกมานั้นมันมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ถ้าสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องปากท้อง อย่าง ข้าวสาร อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม ฯลฯ ของแบบนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพ หลายครอบครัวอาจไว้จะมีซื้อมาตุนไว้ก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ดี(แต่ระวังของหมดอายุด้วยนะครับ) ส่วนสิ่งของที่เป็นพวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า สินค้าไอทีต่างๆ พวกนี้อาจจะต้องคิดสักหน่อยก่อนซื้อ เพราะบางอย่างก็อาจจะไม่จำเป็น
2. นำของเก่ามาทำเป็นของใหม่
ต่อเนื่องจากข้อแรกครับ ที่บอกว่า ให้ซื้อแต่สิ่งที่จำเป็น สำรวจดูในบ้านบ้างครับว่าสิ่งของชิ้นไหนที่ยังพอใช้ได้ แต่สภาพเก่าไปบ้างก็ไม่เป็นไร นำมาซ่อมแซมหรือดัดแปลงให้มันใช้งานได้หลากหลายขึ้น จะช่วยให้เราประหยัดไม่ต้องเปลืองตังค์ซื้อ แถมยังได้ของใหม่ที่ทำขึ้นเองด้วยครับ
3. หันมาผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน
หากที่บ้านไหนมีพื้นที่ว่างๆ สนามหญ้าหลังบ้านหรือหน้าบ้านเล็กๆ อาจจะลองนำเอาเมล็ดพันธุ์ผักปลอดสารพิษต่างๆไปปลูกดู ดั่งคำพูดที่ว่า กินทุกอย่างที่ปลูกและปลูกทุกอย่างที่กิน จะช่วยให้เราประหยัดไม่ต้องซื้อผักจากตลาด แถมยังจะได้ผักที่สดสะอาดมั่นใจได้ว่าปลอดภัยเพราะเราปลูกด้วยตนเอง แต่ถ้าใครที่อยู่บ้านเช่าตึกแถว คอนโด อาพาต์เม้น ต่างๆ อาจจะไม่ค่อยมีพื้นที่สักเท่าไหร่ แนะนำให้ลองหาอะไรมาดัดแปลงเป็นกระบะหรือกระถาง ใส่ดิน ปลูกผักห้อยวางตามระเบียง เพียงเท่านี้ก็จะได้ผักสวนครัวแบบกระถางห้อยกินได้แล้วครับ
จากวันว่างหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ ช่วยๆกันในครอบครัวครับ พ่อ แม่ ลูก ลองคิดว่า จะช่วยกันทำอย่างไร เพื่อให้มีรายรับเพิ่มเข้ามา อาจจะช่วยกันทำขนมหรือทำอาหาร ,นำผักที่ปลูกไปขายที่ตลาด หรือคุณแม่บ้านอาจจะมีอาชีพเสริม เช่น การเย็บปักถักร้อย,ทำตุ๊กตา,ทำงานฝีมือ แล้วให้ลูกๆช่วยเรื่องการถ่ายภาพจัดตกแต่ง ลงโพสต์ขายใน Facebook , Instagrem และ Social media ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีอาชีพเสริมอีกมายมายที่ให้เลือกตามความถนัดและตามความสามารถของแต่ละคน อย่าง รับสอนพิเศษ รับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ นักแปลภาษา เป็นไกด์ทัวร์นำเที่ยวช่วงเทศกาลและวันหยุด ฯลฯ เป็นต้น
5. ติดตามส่วนลด โปรโมชั่นดีดี
ถ้าจะซื้ออะไรสักอย่างแล้วเลือกซื้อที่มีรายการส่วนลดด้วยนั้น จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าของเราได้บ้าง หรือถ้าใครที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเป็นประจำ ก็จะมีโปรโมชั่นเสริมต่างๆมากมาย เช่นสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัลและส่วนลด ฟรีค่าที่พัก ค่าเดินทางค่าเครื่องบิน ตามแต่ละประเภทของบัตรและสินค้าที่ร่วมรายการ
6. ทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวัน
หลายคนอาจจะคิดว่า การทำบัญชีนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย ที่จริงแล้วมีผลนะครับ บัญชีทำให้เรารู้ว่า เรามีรายรับอะไรเท่าไหร่บ้าง มีรายจ่ายหมดไปกับสินค้าบริการประเภทไหนบ้าง และเรามีภาระที่ต้องชำระค่าอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเครื่องเตือนสติไม่ให้เราใช้จ่ายเงินจนเกินตัว โดยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เมื่อเราเห็นภาพรวมของการเงินของเราแล้ว ก็จะทำให้เรามีการวางแผนทางการเงินที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะใครที่อยากมีเงินออมตอนสิ้นเดือนทุกๆเดือนแล้วล่ะก็ อย่าลืมจดบันทึกและแบ่งเงินเก็บออมไว้เพื่ออนาคตกันบ้างนะครับ
สำหรับผมแล้วเป็นคนที่ชอบออมเงิน และมีวิธีการในการออมดังนี้ครับ ถ้ามีรายได้เข้ามา ผมจะแบ่งเก็บออมไว้เลย 10-20 % จากนั้น เวลาที่เราได้รับเงินโบนัสหรือส่วนลดเมื่อซื้อสินค้า รายได้เสริมและรายได้พิเศษต่างๆ ผมก็จะเก็บไว้เป็นเงินออมและเป็นเงินทุนสำรองไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินครับ แรกๆมันก็อาจจะยากนิดหน่อยตรงที่เราต้องมีสติควบคุมจิตใจของตนเอง และมีวินัยในการใช้เงินมากขึ้น แต่พอทำไปสักพักเราก็จะเริ่มติดเป็นนิสัย จนทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอีกต่อไปแล้ว หากว่าท่านผู้อ่าน และใครที่สนใจอาจจะลองนำไปปรับใช้ดูก็ได้นะครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์
ในช่วงที่ของแพง เศรษฐกิจ ไม่ดี การประหยัดมากจนเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียกับสุขภาพกายและจิตได้ ดังนั้นเราจึงควรดำรงตนบนพื้นฐานแห่งความพอดี เดินทางสายกลาง ไม่โลภมาก ไม่ฟุ่มเฟือย หรือขี้เหนียวจนเกินไป ช่วยเหลือคนรอบข้างที่ตกทุกข์ได้ยากบ้าง และรู้จักการใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทในทุกๆเรื่อง ไม่ว่า เศรษฐกิจ จะเป็นแบบไหน หากว่าเราได้สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตนเองแล้ว ย่อมผ่านพ้นวิกฤตที่เลวร้ายนี้ไปได้.