ระยะนี้เทรนด์รักสุขภาพและการใส่ใจในเรื่องการออกกำลังกายกำลังมาแรง ซึ่งกิจกรรมออกกำลังกายง่าย ๆ ต้นทุนไม่สูง ไม่ต้องรอเพื่อน ไม่ต้องเสียค่าเช่าสนามหรือคอร์ตเล่นกีฬาก็น่าจะเป็นกีฬาวิ่งเบา ๆ ตามสวนสาธารณะ หรือ วิ่งในหมู่บ้านตามสะดวก เพื่อการออกกำลังกายที่ดีต่อรูปร่างและข้อเข่า จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ๆ ที่นักกีฬาหน้าใหม่หลาย ๆ ท่านให้ความสนใจกับการเลือกซื้อรองเท้ากีฬา ที่จะทำหน้าที่พยุงข้อเท้าและช่วยรองรับแรงกระแทรกของส้นเท้าระหว่างวิ่งได้เป็นอย่างดี คงไม่มีใครอยากได้รูปร่างเฟิร์มที่มาพร้อมข้อเข่าเสื่อมหรอก จริงมั๊ยคะ
และถ้าจะพูดถึงรองเท้ากีฬาที่มีชื่อเสียงฮอตฮิตเป็นที่นิยมมาโดยตลอดและมีประวัติมายาวนานแล้วหล่ะก็ เชื่อว่า แบรนด์รองเท้ากีฬาอย่าง Adidas น่าจะติดอันดับที่ 1 หรือ อันดับที่ 2 ในใจใครหลาย ๆ คนค่ะ
เรื่องราวของแบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติเยอรมันอย่าง Adidas แบรนด์ยอดนิยมที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ที่ติดตา จำง่าย ด้วยลายเส้น 3 ขีดนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 95 ปีที่แล้วค่ะ โดย Adolf Adi Dassler (อดอล์ฟ อาดี ดาสเลอร์) ได้เริ่มทำรองเท้าจากฝีมือของเขาเองเป็นครั้งแรกเมื่อตอนที่เขาเพิ่งจะมีอายุได้เพียง 20 ปี เท่านั้น ซึ่งก็คือปี 1920 จากจิตวิญญาณของนักกีฬาที่มีอยู่ในตัวอาดีอยู่แล้ว ทำให้เขารู้ดีว่านักกีฬาส่วนใหญ่ต้องการและมองหารองเท้าที่มีลักษณะแบบไหน การทำรองเท้าของเขาจึงมีเป้าหมายเดียวก็คืออยากให้นักกีฬาทุกคนมีรองเท้ากีฬาดี ๆ ใส่กันเวลาลงแข่งในสนาม
แต่ในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 รองเท้าคู่แรกของอาดี จึงผลิตขึ้นมาจากวัสดุเท่าที่มี และวัสดุที่หาได้ในช่วงนั้นก็มีเพียงผ้าใบ การผลิตรองเท้าครั้งแรกจึงเริ่มทำขึ้นที่ร้านซักรีดของแม่เขานั่นเอง โดยได้คุณพ่อของเขาเป็นคนให้คำแนะนำ เพราะคุณพ่อเคยเป็นช่างทำรองเท้าในโรงงานรองเท้ามาก่อน และก็ยังได้เพื่อนข้างบ้านตระกูล เซห์ไลน์ ที่มีอาชีพช่างเหล็กมาช่วยผลิตปุ่มที่ส้นรองเท้าให้เขาอีกด้วย หลังจากนั้น ไม่นานพี่ชายของเขา Rudolf (รูดอล์ฟ) ก็เข้ามาร่วมหุ้นทำรองเท้ากีฬาด้วยกัน จึงเกิดเป็นที่มาของโรงงานรองเท้ากีฬาในปี 1924 ในชื่อว่า “โรงงานรองเท้าพี่น้องดาสเลอร์” (Dassler Brothers Shoe Factory) ภายใต้โลโก้สินค้าที่มีแถบสี 2 เส้น ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า เฮอร์โซเกเนาราช รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมันนี
ความสำเร็จของพี่น้องตระกูล Dassler ในช่วงก่อนเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นวัดได้จากยอดการผลิตและจำหน่ายรองเท้ากีฬาจำนวนกว่า 200,000 ต่อปีค่ะ นอกจากนั้น กลยุทธ์การตลาดของ Dassler ที่เขารู้จักแฝงไว้ในภาพลักษณ์ของสินค้าก็คือการที่เจ้าตัวมักจะไปร่วมอยู่ในการแข่งขันกีฬารายการสำคัญ ๆ อยู่เป็นประจำ เป็นที่ทราบกันดีว่ารองเท้าของ Dassler นั้นมักจะเน้นไปที่การออกแบบรองเท้าเพื่อกีฬากรีฑาเป็นส่วนใหญ่ และในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ปี 1928 ที่กรุงอัมเตอร์ดรัม ประเทศฮอลแลนด์นั้นก็เป็นปีแรกที่นักกีฬาสวมใส่รองเท้าของ Dassler ซึ่งได้รับการออกแบบปุ่มเพื่อช่วยให้ยึดเกาะกับพื้นสยามได้ดีมากขึ้น และนับเป็นช่วงเวลาสำคัญครั้งที่ 1 ของแบรนด์ระดับตำนานนี้เลยค่ะ
ในเวลาต่อมาราว ๆ ปี 1930 สองพี่น้อง Dassler ก็ผลิตรองเท้ากีฬาออกมาอีกกว่า 30 แบบเพื่อรองรับกีฬาต่าง ๆ กว่า 11 ชนิด ทำให้โรงงานรองเท้าของเขาทั้งสองมีคนงานมากถึง 100 คนค่ะ จึงอาจกล่าวได้ว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปี โรงงาน Dassler เป็นอุตสาหกรรมผลิตรองเท้ากีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนผลงานของนักกีฬาที่ช่วยสร้างชื่อให้กับแบรนด์รองเท้า Dassler ในยุคแรก ๆ ต้องยกให้กับเจสซี่ โอเว่น นักกรีฑาชาวอเมริกันที่คว้าชัย 4 เหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ในปี 1936 และอีกครั้งก็เป็นผลงานของนักกีฬาที่ชื่อ ฮาร์มิน ฮารี่นักกีฑาคนแรกของประเทศเยอรมันตะวันตกที่วิ่งด้วยความเร็ว 100 เมตรภายในเวลาแค่ 10 วินาที จนได้รับการจดบันทึกเป็นสถิติระดับโลก ซึ่งนักกีฬาทั้ง 2 ท่านใส่รองเท้าของ Dassler ลงแข่งทั้งคู่ค่ะ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนของเส้นทางธุรกิจและวิถีแห่งตระกูลสองพี่น้อง Dassler ก็มาเคาะประตูโรงงาน เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานของสองพี่น้อง Dassler ถูกกลุ่มของนาซีเข้ายึดครองและมีคำสั่งให้โรงงานแห่งนี้ผลิตรองเท้าบูทให้กับกองทหารของเยอรมัน ในขณะที่ รูดอล์ฟ คนพี่นั้นถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วมทัพกับกองกำลังฝั่งเยอรมันและถูกฝ่ายตรงข้ามจับไปขังเป็นนักโทษสงครามนานถึง 1 ปีเต็ม ความเจ็บปวดและความทรมานในการถูกกักขังทำให้รูดอล์ฟค่อนข้างโมโหง่าย จนเป็นเหตุให้มีปากเสียงกับอาดี ผู้น้องอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สิ่งต่าง ๆ ที่เหลือไว้คือความเสียหายจากพิษสงครามจนกระทั่งในปี 1947 Dassler จึงจำเป็นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่หมด ด้วยคนงานที่เหลืออยู่เพียง 47 คน เขาได้นำความรู้และไอเดียที่ได้ระหว่างสงครามมาผลิตรองเท้ากีฬาแบบแรกหลังจบสงครามโลกในครั้งนั้น โดยรองเท้ากีฬารุ่นนี้ทำจากผ้าใบและยางที่มาจากถังน้ำมันเชื้อเพลิงของทหารอเมริกัน แต่แล้วความแตกร้าวภายในครอบครัว Dassler ก็ลุกลามเกินกว่าจะแก้ไข ทำให้สองพี่น้องต้องกลายมาเป็นคู่แข่งบนเส้นทางธุรกิจรองเท้ากีฬานี้ ใครจะลุก ใครจะรับ โปรดติดตาม Adidas vs Puma ในตอนต่อไป